'อัษฎางค์'แฉมีการใช้สถาบันการศึกษาเป็นที่บ่มเพาะพืชพันธุ์ทางการเมืองเรื่อง'การปกครองแบบสาธารณรัฐ'กำลังจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ โดยขบวนการที่อ้างคำว่า'ปฏิรูป'ทั้งที่ซ้อนเร้นการล้มล้างการปกครอง
4 ก.พ.2565 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้
“โรงเรียนทางเลือกหรือสถาบันล้างสมองเยาวชน”
ถ่ายทอดวิชาการหรือฝึกฝนนักปฏิวัติ
เหล้าเก่าในขวดใหม่
วิธีการเก่าๆ ที่ถูกนำมาใช้ใหม่ในปัจจุบัน
ที่คุณคนไทย…อาจไม่ทันรู้ตัว
……………….……………….…………………..……………….
จีนประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐและจีนแบบคอมมิวนิสต์เมื่อสมัยก่อน ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งแนบเนียนและนุ่มนวลกว่าการใช้กำลังโดยตรง โดยค่อย ๆ ปลูกฝังความรู้สึกนึกคิดเรื่องการปฏิวัติให้กับเด็กๆ อย่างช้าๆ และแนบเนียน
หนึ่งในยุทธวิธี คือการบิดเบือนประวัติศาสตร์ บิดเบือนข้อเท็จจริงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อจุดมุ่งหมายในการปลูกฝังให้มีทัศนคติในเรื่องต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นสถาบันหลักของการปกครองของชาติอย่างช้า ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อเปลี่ยนประเทศให้เป็นคอมมิวนิสต์หรือสาธารณรัฐในที่สุด
เป็นการปลูกฝังลัทธิทางการเมืองแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบไม่รู้ตัว นานไปข้างหน้าเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นจะเป็นภัยต่อต่อความมั่นคง
พ่อแม่ผู้ปกครองผู้ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ลูกหลานได้รับการศึกษาเล่าเรียนแบบทางเลือก แต่โรงเรียนแบบนี้กลับมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไป โดยแอบสอดแทรกเพื่อเผยแพร่ความคิดและทัศนคติที่มีผลต่อความมั่นคงทางการเมือง
……………….……………….…………………..……………….
ต่อไปนี้คือตัวอย่างภัยคุกคามความมั่นคงจากจีนแดงในอดีต ซึ่งจีนปัจจุบันเป็นคอมมิวนิสต์ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ที่นอกจากไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงแล้วยังเป็นมหามิตรที่มีความจริงใจกับไทย ผิดกับมหาอำนาจตะวันตกที่เล่นบทที่ซ้อนเร้นภัยคุกคามกับไทยในปัจจุบัน
ชาวจีนในเมืองไทยในอดีตมักขอจัดตั้งโรงเรียนจีน ด้วยข้ออ้างว่ามีจุดมุ่งหมายให้ลูกหลานชาวจีนได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ เป็นภาษาจีน แต่ความจริงใจโรงเรียนจีนหลายแห่งกลับมีจุดมุ่งหมายที่มุ่งเผยแพร่เผยแพร่ลัทธิไตรราษฎร์ ของ ดร. ซุนยัดเซ็น (การปกครองแบบสาธารณรัฐ) หรือไม่ก็เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์
ตัวอย่างเช่น โรงเรียนอนุบาลซันเหมิน ธนบุรี ให้นักเรียนหยุดการเรียนในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2470 ซึ่งเป็นวันชาติของสาธารณรัฐจีน และทำการตกแต่งธงชาติจีนที่หน้าโรงเรียน และมีธงที่มีอักษรจีนซึ่งแปลความได้ว่า “การปฏิวัติในจีนยีงไม่สำเร็จ ต้องร่วมมือกันให้บรรลุผลขั้นสุดท้ายให้จงได้”
โรงเรียนเอ๋งเม้ง ธัญบุรี และโรงเรียนก๊กมิ้น อยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2472 นำในปลิวที่เผยแพร่ลัทธิ “ลัทธิซุนบุ๋น” ใส่กรอบติดไว้ที่โรงเรียน ซึ่งใบปลิวนี้กล่าวถึง”ลัทธิการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองให้เป็นประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ” และยุยงให้เกลียดชังคนชาติอื่น
โรงเรียนจิ้นเต็ก กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2472 เปิดดาดฟ้าของของโรงเรียนเป็นศาลเจ้า และขายน้ำชาหารายได้ ทำให้มีกลุ่มคนชาวจีนไปพบปะชุมนุมเป็นประจำ ต่อมาตำรวจสืบทราบว่า เป็นการพบปะกันของชาวจีนคอมมิวนิสต์เพื่อประชุมวางแผนงานกัน โดยใช้การดื่มน้ำชาเป็นฉากบังหน้า
ซึ่งนั้นคือตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น ยังมีการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันนี้ในอีกหลายโรงเรียนทั่วประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในโรงเรียนจีน เป็นเรื่องที่สร้างความน่ากังวลจนเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำกรุงเทพฯ ทำให้มีหนังสือตั้งข้อสังเกตและชี้แจงเกี่ยวกับโรงเรียนจีนว่าเป็นแหล่งเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศสยามทราบ เพื่อให้รัฐบาลสยามได้หาทางป้องกัน
ลักษณะหรือวิธีการดำเนินการของโรงเรียนจีนเหล่านี้ ทำให้เห็นถึงการแทรกซึมของลัทธิคอมมิวนิสต์หรือการปกครองในระบบสาธารณรัฐในสยามอย่างแนบเนียน
……………….……………….…………………..……………….
ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงมีกระแสพระราชดำรัสในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาว่า “เรื่องตำราของโรงเรียนจีนนี้จะต้องตรวจดูให้ดี เพราะมีการสอดแทรกการเมืองในตำราทุกเล่ม ทั้งนี้ เพราะจีนเอาอย่างมาจากโซเวียตรัสเซีย ซึ่งเป็นเจ้าตำรับลัทธิคอมมิวนิสต์โดยตรง”
อย่าลืมว่า ปรีดี พนมยงค์ ก็เคยยอมรับว่าเขาได้รับอิทธิพลแนวความคิดการปกครองแบบสาธารณรัฐของจีน ผ่านทางข่าวสารและสื่อการเรียนการสอน ซึ่งในที่สุดได้หล่อหลอมให้ ด.ช.ปรีดี เติบโตมากลายเป็นนักปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด
พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรทรงตระหนักว่า โรงเรียนจีนได้กลายเป็นแหล่งปลูกฝังและเผยแพร่ลัทธิทางการเมืองซึ่งอาจเป็นภัยต่อสยาม จึงทรงคิดแก้ไขพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์
โดยทรงนำเสนอต่อที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเห็นชอบโดยเร่งด่วน เพื่อจะได้ออกประกาศใช้พร้อมกับพระราชบัญญัติป้องกันการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ฉบับอื่น ๆ
จนได้ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2470 มีบทบัญญัติเพิ่มเติมบางตอน ความว่า
“…ถ้าปรากฏว่ามีการสอนหรือเตรียมจะสอนลัทธิแบบแผนทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจในโรงเรียนใด ด้วยเจตนาคำนวณว่าจะให้เกิดความเกลียดชังต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือต่อรัฐบาล หรือต่อแผ่นดินก็ดี หรือจะให้มีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลหรือพระราชกำหนดกฎหมายด้วยใช้กำลังบังคับ หรือกระทำร้ายก็ดี
หรือจะให้คนทั้งหลายเกิดความไม่พอใจ และกระด้างกระเดื่อง ถึงอาจจะเกิดเหตุร้ายในแผ่นดินก็ดี หรือจะกวนให้เกิดขึ้นซึ่งความเกลียดชังระหว่างคนต่างชั้นก็ดี หรือจะยุยงให้คนทั้งหลายกระทำการล่วงละเมิดต่อรพะราชกำหนดกฎหมายก็ดี จะต้องถูกปิดโรงเรียนทันที…”
……………….……………….…………………..……………….
กลยุทธ์ใช้โรงเรียนและสถาบันการศึกษา เป็นที่บ่มเพาะพืชพันธุ์ทางการเมืองในเรื่อง”การปกครองแบบสาธารณรัฐ” กำลังจะกลับมาซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีกครั้งในยุคปัจจุบัน
โดยขบวนการที่อ้างคำว่า”ปฏิรูป” ทั้งที่ความจริง “ซ้อนเร้นการล้มลางการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”เอาไว้ในหลักสูตรและในโรงเรียนทางเลือก
ไม่เฝ้าระวังหรือจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งตั้งแต่ต้นให้ทันท่วงที แล้วจะมาเสียใจที่หลังก็สายเกินไปแล้ว
รัฐและข้าราชการผู้มีอำนาจหน้าที่ อยู่เฉยๆ หรือปฏิบัติการอย่างเชื่องช้า ด้วยเหตุผลเพียง 2 ข้อ คือ ไร้น้ำยา หรือไม่ก็มีความคิดไปในทางเดียวกันกับเขา คือต้องการปฏิรูป อันมีความหมายที่ซ้อนเร้นการล้มลางการปกครองเอาไว้นั้นเอง
วิชาประวัติศาสตร์นอกจากเอาไว้เรียนรู้ที่มาที่ไปของชาติแล้ว ยังมีประโยชน์ในศึกษากรณีตัวอย่างของปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่เคยเกิดขึ้นและมักเกิดขึ้นซ้ำอีก เพราะกลุ่มคนที่เป็นตัวปัญหายังไม่ตาย แต่เติบโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลทางความคิดในสังคม
คนที่เป็นตัวอันตรายต่อความมั่งคงของชาติในปัจจุบันเหล่านั้น แท้จริงก็คือผลผลิตจากโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาในอดีต หรือนักศึกษาที่เคยเดินขบวนต่อต้านการปกครองแล้วหนีเข้าป่า และผ่านการศึกษาอบรมเรื่องการปฏิวัติและลัทธิทางการเมือง แล้วกลับมาถ่ายทอดแนวคิดความเป็นขบถต่อสังคมให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไปนั้นเอง
รุ่นเขาที่ผ่านมาทำไม่สำเร็จ ไม่ได้แปลว่าจบ
เพราะเขากลับมาสร้างกองทัพนักปฏิวัติรุ่นต่อไป
จะรอให้สายเกินไปหรือตัดตอนตั้งแต่ต้น ขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคน ต้องช่วยกันผลักดันและกดดันให้ผู้มีหน้าที่รู้ตัวว่า เขาต้องทำอะไร ก่อนจะสายเกินไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ทักษิณ-พท.' อย่าเพิ่งตีปีก! ชั้น 14 ป.ป.ช. ใกล้งวด คดีครอบงำยิ่งชัด รอ กกต. เคาะ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หน้าแตกกันไปตามๆ กัน เมื่อได้ทราบผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่รับวินิจฉัยคำร้อง
'ชูศักดิ์' โล่ง ปลอดชนักล้มล้างการปกครอง
'ชูศักดิ์' มองเป็นสัญญาณดี ปม 'ศาล รธน.' ไม่รับคำร้อง 'พท.' ล้มล้างการปกครอง ชี้ รัฐบาลเดินหน้าทำงานได้แบบไม่กังวล
'ดร.ณัฏฐ์' ชี้กรณี 'ทักษิณ-พท.' รอดคดีล้มล้างฯ ไม่ตัดอำนาจ 'กกต.' ไต่สวนยุบพรรคได้
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่าการกระทำของนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเป็นการ
'วิสุทธิ์' เผยฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย ร่างคําฟ้องเช็กบิล 'ธีรยุทธ' แล้ว
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการฟ้องร้องผู้ยื่นคําร้องกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครอง ว่า ตนได้คุยกับนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
'นันทเดช' ลั่น! อย่ากลัว 'ทักษิณ' จะใหญ่โตไปกว่านี้
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ อย่ากลั
'ชูศักดิ์' เผย 'เพื่อไทย' ได้รับความเป็นธรรม ศาลรธน. ไม่รับคำร้องปมล้มล้างการปกครอง
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายอิสระ ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย(พท.) ยุติการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองจะผูกพันไปยังกรณีที่มีการยื่นคำร้องเดียว