
องค์กร Protection International เปิดตัวรายงาน “การต่อต้านคือพลัง เสริมสร้างกลไกคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” พบไทยใช้กฎหมายปิดปากนักปกป้องสิทธิมากที่สุดในอาเซียน 9 ปีเกือบ 600 คดี และยังต้องสู้กับอำนาจของกลุ่มทุน จี้ ก.ยุติธรรม ให้นิยาม “การคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิ” พร้อมเร่งออกกฎหมายต่อต้านการฟ้องปิดปาก SLAPPs ควบคู่กับการปฎิรูปกองทุนยุติธรรมให้เข้าถึงได้จริง ฟื้นความเป็นอิสระของกสม. พร้อมเจตจำนงทางการเมืองที่คุ้มครอง
24 มี.ค.2568– องค์กร Protection International (PI) เปิดตัวรายงาน “การต่อต้านคือพลัง” เสริมสร้างกลไกคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมจัดเวทีเสวนา “รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ดาวดวงไหน ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” ที่ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ประจำกรุงเทพฯโดยมีตัวแทนผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนร่วมงาน พร้อมทั้งตัวแทนสถานทูต เช่น สวีเดน ฝรั่งเศส และเยอรมณี รวมทั้งสหภาพยุโรปและ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่ง สหประชาชาติ (UHCHR)
ปรานม สมวงศ์ และสุธิรา เปงอิน ตัวแทน Protection International (PI) ได้แถลงเปิดรายงาน “การต่อต้านคือพลังฯ” ซึ่งเป็นรายงานที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการจุดไฟแห่งการเปลี่ยนแปลง : เสริมพลังผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพื่อผลักดันนโยบายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุม:Fuelling Change: Empowering Women Human Rights Defenders to Drive Comprehensive Policies for Human Rights Protectionภายใต้การสนับสนุนจากโครงการ Human Rights Magna Carta/John Bunyan Fund สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ โดยเป็นการลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกว่า 110 คนทั่วประเทศไทย โดยมีเนื้อหาที่สำคัญว่า ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยยืนหยัดต่อสู้ ในการปกป้องแผ่นดิน ทรัพยากร ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความเป็นธรรมภายใต้ภาวะของทุนผูกขาด ทำให้ภายใต้ความกล้าหาญนี้กลับถูกตอบแทนด้วย การกดขี่เชิงโครงสร้าง การดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม การใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม การสอดแนม และการใช้ความรุนแรง
ปรานม ระบุว่า สะท้อนจากการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (SLAPPs) มากที่สุดในอาเซียน จากรายงานของ Protection International พบว่า ตั้งแต่หลังรัฐประหาร ในเดือนพฤษภาคม 2557 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องปิดปากทั้งหมด 595 คดีจาก 13 ฐานความผิด โดยทุกเดือนจะมีอย่างน้อยสองคนที่ต้องเผชิญการถูกใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม ในฐานความผิดต่าง ๆ ทั้งกฎหมายหมิ่นประมาท พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อหายุยงปลุกปั่น ละเมิดกฎหมายการชุมนุมสาธารณะ ความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน คดีความผิดตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ขณะที่กองทุนยุติธรรมซึ่งควรเป็นที่พึ่งของผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขยุ่งยากจากระบบ และเจ้าหน้าที่ผู้ขาดความรู้ความเข้าใจปฏิเสธไม่ให้เข้าถึง ทำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดคือผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับเข้าไม่ถึงสิทธิของตนเอง
“นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับอำนาจของกลุ่มทุนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การต่อต้านโครงการเหมืองแร่ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ และการละเมิดสิทธิแรงงาน กำลังถูกคุกคามหนักขึ้นโดยภาคธุรกิจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการปกป้องสิทธิมนุษยชนของพวกเธอ” ปรานม ระบุ
ปรานม ระบุว่า ดังนั้นข้อเรียกร้องดังนี้ 1.กระทรวงยุติธรรมต้องมีคำนิยามและมีการรับรองทางกฎหมาย และการคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้สอดคล้องกับ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (1998) เนื่องจากปัจจุบันเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยังไม่เข้าใจว่านักปกป้องสิทธิคือใคร 2.ยุติคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ และการใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคามอย่างเด็ดขาด ผ่านการออกกฎหมายต่อต้าน SLAPPs โดยทันทีและกฎหมายนี้ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมายที่ใช้บังคับ
ปรานม ระบุว่า 3.การปฏิรูปกองทุนยุติธรรม ให้สามารถเข้าถึงได้โดยแท้จริง ลดข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรค และรับรองว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นธรรม และทันท่วงทีจากที่ในปัจจุบันนักปกป้องสิทธิบางคนใช้เวลานานกว่า 33 เดือนก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด 4.สร้างความรับผิดชอบของรัฐและภาคธุรกิจ ในการปกป้องผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรและกลไกตรวจสอบที่เข้มงวด และ 5.ฟื้นฟูความเป็นอิสระของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้สามารถทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากอิทธิพลทางการเมืองและการแทรกแซงจากหน่วยงานความมั่นคงและทหาร
ปรานม ระบุว่า นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในการทำงานกับนักสิทธิมนุษยชนกับชุมชน เช่นสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องแก้ปัญหาจากรากเหง้าต้นเหตุความรุนแรง ดังนั้นจึงต้องยกเลิกกฎอัยการศึก หรือกฎหมายพิเศษต่าง ๆ ที่ละเมิดสิทธิประชาชน และเป็นการลงทุนที่ไม่ชอบธรรม เช่น โครงการแลนด์บริดจ์
“การต่อต้านคือพลัง ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อให้ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เหยื่อของการละเมิดสิทธิอีกต่อไป แต่เป็นแรงขับเคลื่อนแห่งการเปลี่ยนแปลง และเป็นพลังที่ผลักดันสังคมไทยไปสู่อนาคตที่มีความเป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่คำมั่นสัญญาที่ไร้ความหมาย แต่เป็นการลงมือทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้” ปรานม ระบุ
ขณะที่ในวงเสวนา “รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ดาวดวงไหน ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” อังคณา นีละไพจิตร ประธานกมธ.การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า การคุกคามนักปกป้องสิทธิเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาคือการ ลอบสังหาร ทรมาน และบังคับสูญหาย ซึ่งคดีทั้งหมดไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ แต่รูปแบบการคุกคามใหม่ คือการฟ้องร้องดำเนินคดี ด้อยค่า มีการโจมตี การใช้เรื่องเพศเป็นเครื่องมือทำให้ไร้ค่า
“ตอนรัฐบาลแถลงนโยบายใช้คำสละสลวยเรื่องสิทธิมนุษยชน การมีหลักยุติธรรมและธรรมาภิบาล รวมทั้งไปรับคำมั่นจากต่างประเทศในการปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ที่การมีคำมั่นที่ดี แล้วจะเกิดการปฏิบัติ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ไม่มีการปฏิบัติจริง ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเยียวยาด้านจิตใจกับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่คุ้มครองนักต่อสู้ปกป้องสิทธิ เช่น กฎหมายอุ้มหายทรมาน ขณะเดียวกันต้องยกเลิกการดำเนินคดีเพื่อปิดปากนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิรวมถึงกระทรวงยุติธรรม” อังคณา ระบุ
ด้านธนพร วิจันทร์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิแรงงาน กล่าวว่า ตนเองและเครือข่ายแรงงานถูกดำเนินคดีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จนมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ล่าสุดมีการรื้อคดีตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินปี 2564 ที่ยกเลิกไปนานมากแล้ว มาฟ้องร้องพวกตน ที่ไปเรียกร้องให้มีการฉีดวัคซีนโควิดให้กับแรงงานข้ามชาติ
“ไม่ใช่หน้าที่บทบาทของรัฐที่จะต้องมาฟ้องประชาชน แต่ควรที่จะแก้ไข วันนี้ต้องถามว่ากระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลเพื่อไทย อยู่ไหน ยุติธรรมกี่โมง ขอให้รัฐบาลทำอะไรสักเรื่องให้ประชาชนได้หรือไม่ ไม่รู้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยทำเพื่อใคร สิ่งที่เราเห็นคือกลุ่มทุน และพวกพ้อง พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชนตรงไหน พรรคเพื่อไทยหัวใจคือทักษิณ” ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิแรงงานระบุ
ขณะที่สมปอง เวียงจันทร์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูล กล่าวว่า เมื่อออกมาคัดค้านเขื่อนปากมูล ตนเองถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีกบฎ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก ทั้งที่พวกตนเองปกป้องแม่น้ำมูลแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดของชาวบ้าน นอกจากนี้ยังต้องเจอกับการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มาติดตามตนเอง และพยายามให้พวกตนเองไปในสถานที่ที่เสี่ยงกับการถูกดำเนินคดีเพื่อยัดเยียดข้อกล่าวหาร้ายแรงให้ จนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลที่ถูกเลือกตั้งเข้ามา แทนที่จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านในเรื่องที่สิทธิทำกิน สิทธิที่อยู่อาศัย แต่กลับมาใช้กฎหมายมากดทับพวกตนเอง ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลประชาธิปไตย ควรให้สิทธิชาวบ้านในการเรียกร้อง และปกป้องชาวบ้านที่รักษาสิทธิในการปกป้องแม่น้ำ
ด้านอัสมาดี บือเฮง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักข่าวพลเมืองชายแดนใต้ กล่าวว่า ในช่วงโควิด -19 มีชาวบ้านในพื้นที่ถูกวิสามัญกว่า 60 ราย ตนเองก็เช่นเดียวกันที่ถูกดำเนินคดี หลังจากเขาไปสังเกตการณ์ในเหตุการณ์ที่แม่พยายามเข้าไปรับศพลูกชายที่ถูกวิสามัญที่รพ. ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายต่อกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะคำถามต่อความเป็นมนุษย์ ที่ลูกชายตาย และแม่ถูกดำเนินคดี ทั้งที่ปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้จะต้องใช้การเมืองแก้ปัญหา แต่กลับใช้กฎหมายมาทำร้ายประชาชน นอกจากนี้ยังดำเนินคดีในการจัดเวทีเสวนาของนักศึกษา โดยโดยกอรมน. ซึ่งสะท้อนว่าไม่ใช่แค่การใช้กฎอัยการศึก ยังใช้พ.ร.บ.ความมั่งคงภายในด้วย ทำให้กอรมน.มีอำนาจมากและเกิดการแทรกแซงทุกกิจการ
“รัฐบาลเพื่อไทยมีบาดแผลในคดีตากใบ และรัฐบาลก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้กอ.รมน.เดินหน้านโยบายการปราบปรามใหญ่ขึ้น และรัฐบาลในปัจจุบันก็ไม่มีเจตจำนงทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ยังมีการเจรจาสันติภาพ ทำให้การไปเยือนของนายทักษิณ ชินวัตร ทั้งสองครั้งมีแรงเหวี่ยงกลับมาอย่างมีนัยยะสำคัญ อยากฝากให้ทุกคนติดตามการดำเนินคดีภาคประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะเป็นจุดวิกฤตเปลี่ยนสถานการณ์ให้รุนแรงมากขึ้นได้” อัสมาดี ระบุ
ขณะที่ชลธิชา แจ้งเร็ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ต้องหาและจำเลยรวม 28 คดี จึงเข้าใจถึงปัญหาของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ได้รับการคุกคามต่างๆ โดยเฉพาะการคุกคามบนโลกออนไลน์ในมิติทางเพศ ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงสภาพจิตใจของคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างมาก ทำให้บรรยากาศการเคลื่อนไหวหดแคบลง หรือแม้แต่งานการเมืองเองก็ไม่ได้มีการสร้างบรรยากาศความปลอดภัยให้กับผู้หญิงในการทำงานการเมืองแต่อย่างใด
“ดัชนีชี้วัดประชาธิไตยของประเทศ ไม่ได้ดูแค่กลไกของการเลือกตั้ง แต่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมด้วย ที่ผ่านมานักต่อสู้จำนวนมากถูกคุกคาม มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพหนักขึ้นเรื่อย ๆ พรรคเพื่อไทยเคยโฆษณาตัวเองเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย แต่ทำไมตัวเลขคดีความในยุคไม่ลดลง มีการหยิบคดีในคสช.ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง แม้แต่คนเป็นสส.เอง ก็ไม่ปลอดภัย ถูกฟ้องโดยรัฐมนตรี ไม่เห็นถึงแนวโน้มในทิศทางทีดีขึ้นเลย” ชลธิชา ระบุ
ชลธิชา ระบุด้วยว่า เจตจำนงทางการเมืองในการผลักดันต่างๆ เป็นบันไดขั้นแรก แต่วันนี้ไม่เห็นเจตจำนงทางการเมืองจากเพื่อไทย ซึ่งขอทวงถามถึงเรื่องนี้ เพราะตราบใดที่ไม่มีเจตจำนงทางการเมือง จะนำไปสู่ก้าวต่อไปในการปกป้อง และคุ้มครองนักปกป้องสิทธิได้อย่างไร และหวังว่าจะยกเลิกโทษหมิ่นประมาทอาญา ซึ่งจะทำให้เห็นเป็นทิศทางและการกำกับที่ดีต่อไป
ด้านปรานม กล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยได้อำนาจมาแล้ว แต่ไม่มีประชาชนในหัวใจ ไม่เอื้อต่อการสร้างสภาวะแวดล้อมในการปกป้องนักสิทธิมนุษยชน สะท้อนได้จากการการจำกัดสิทธิเสรีในการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน การไม่ให้ความสำคัญกับการลุกขึ้นมาต่อสู้ของประชาชน ทั้งเรื่องของสหภาพแรงงาน และปลาหมอคางดำ รวมทั้งท่าทีของของกอรม.ต่อสิทธิการแสดงออกของประชาชนโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้ เช่นเดียวกับในวันนี้ที่ทาง PI ได้เชิญตัวแทนรัฐบาลเพื่อไทยมาเช่นกันแต่ได้รับคำตอบว่าติดภาระกิจ ทั้งๆที่การออกรายงานครั้งที่แล้วมีการส่งตัวแทนมา
“วันนี้การที่เรามีนักการเมืองผู้หญิง มีผู้มีอำนาจเป็นผู้หญิง ถือป็นเรื่องดี แต่อำนาจของที่นายกฯผู้หญิงมี ควรกระจายเพื่อสร้างความยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ำให้กับผู้หญิงทั้งประเทศ ไม่ควรอยู่ในมือผู้หญิงตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่หรืออำนาจใดอำนาจหนึ่ง แต่ควรต่อสู้เพื่อให้ประเทศนี้มีการโอบอุ้มและปกป้องผู้หญิงและประชาชนในทุกชนชั้น”ปรานม กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ผู้ร่วมงานยังร่วมกันให้ประเมินการทำงานของพรรคเพื่อไทย ผ่านการติด “ดาว” หรือ “อุกกาบาต” ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งปรากฎว่าทั้งหมดติดอุกกาบาตเพื่อสะท้อนความพึงพอในใจในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ โดยทั้งหมดระบุว่าพรรคเพื่อไทยเคยเป็นดาวแห่งความหวังแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ในจักรวาลของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่สมรัฐบาลเป็นดาวที่ห่างไกลจากประชาชน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศาลไม่อนุญาตให้ ’ทักษิณ‘ เดินทางไปประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย
ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ขออนุญาตเดินทางไปประชุมอาเซียนที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้ออกนอกราชอาณาจักร
ยื่นหนังสือจี้ ‘อันวาร์’ ทบทวนบทบาท ‘ที่ปรึกษาประธานอาเซียน’
เอาแล้ว! พรรคไทยภักดี ยื่นหนังสือถึงสถานทูตมาเลเซีย ส่งต่อ ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ทบทวนบทบาท ‘ทักษิณ’ ที่ปรึกษาประธานอาเซียน หลังลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แสดงตนเกินขอบเขต ที่ควรจะเป็น หวั่นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
The Return of Trump กับชะตากรรมอาเซียน! 3 นักวิชาการมธ. ชำแหละเกมมหาอำนาจ
ท่ามกลางกระแสการกลับมาของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สู่ทำเนียบขาว 3 นักวิชาการ มธ.วิเคราะห์ผลกระทบที่อาเซียนต้องเผชิญ เมื่อสหรัฐฯ เดินหน้าปรับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก บทบาทของอาเซียนกำลังลดลงหรือเป็นโอกาสต่อรอง
ยาสารพัดนึก! สว.นันทนาบอกเศรษฐกิจไทยวิกฤตต้องรื้อโครงสร้างแก้ รธน.ถึงช่วยได้
ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.)