08 ม.ค.2568 - ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ศูนย์สนับสนุนพันธกิจ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “สถานการณ์โรคระบาดสำคัญและบทเรียนปี 2567 พร้อมแนวทางรับมือในอนาคต: "ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีระบาดของโรคอุบัติใหม่หรือไม่ เพราะเกิดแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น” ระบุว่า ปี 2567 เป็นปีที่ทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านโรคระบาด ไม่ว่าจะเป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน โรคอุบัติใหม่ และโรคอุบัติซ้ำที่ต้องเฝ้าระวัง ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโรคเหล่านี้พร้อมบทเรียนที่ได้รับ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือในอนาคต
1. โควิด-19 การกลายพันธุ์ของสายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ที่ต้องจับตา
- โอมิครอนสายพันธุ์ JN.1: แพร่ระบาดกว้างขวางในช่วงกุมภาพันธ์-เมษายน ปัจจุบันยุติการระบาดแล้ว
- โอมิครอน BA.2.87.1: ระบาดระหว่างเมษายน-มิถุนายน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่
- โอมิครอน KP.3: แพร่ระบาดต่อเนื่องตั้งแต่กรกฎาคม คาดการณ์จะแทนที่ JN.1 ในอนาคตอันใกล้
- โอมิครอน XDV.1: ระบาดหนักในจีนสิงหาคม-ตุลาคม พบในไทยแล้ว ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
- โอมิครอน XEC: เชื้อกลายพันธุ์ใหม่ แพร่ติดต่อได้ง่ายขึ้น ระบาดตุลาคม-พฤศจิกายน
- โอมิครอน KP.2.3/XEC (XEK): สายพันธุ์ลูกผสมที่แพร่เชื้อได้สูงกว่าเดิมสองเท่า เริ่มระบาดพฤศจิกายน
- โอมิครอน LP.8.1: คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์หลักระดับโลกในปี 2568 ด้วยประสิทธิภาพในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เหนือกว่า และมีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าโอมิครอนทุกสายพันธุ์ในปัจจุบัน
ผลกระทบจากการกลายพันธุ์: การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมจากสายพันธุ์ "อู่ฮั่น" สู่ "โอมิครอน" ส่งผลให้เกิดภาวะลองโควิดที่แตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ เช่น อาการเหนื่อยล้าเรื้อรังและผลกระทบต่อระบบประสาท
ข้อมูลการกระจายตัวในสหรัฐฯ (ปลายปี 2024):
- XEC (Omicron): 45% (ช่วงความเชื่อมั่น 40-51%)
- KP.3.1.1: 24% (ช่วงความเชื่อมั่น 21-27%)
- LP.8.1: 8% (ช่วงความเชื่อมั่น 3-17%)
2. ไข้หวัดนก H5N1 สถานการณ์การระบาดที่น่ากังวล
การระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ในปี 2567 ยังคงสร้างความกังวลในหลายประเทศเนื่องจากมีการติดเชื้อในมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด:
- ในสหรัฐอเมริกา: พบผู้ติดเชื้อ 65 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนงานในฟาร์มสัตว์ โดยมีอาการไม่รุนแรง เช่น ตาอักเสบและระคายเคืองระบบทางเดินหายใจส่วนบน อย่างไรก็ตาม มีสองกรณีที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้ป่วยในรัฐลุยเซียนาและวัยรุ่นในแคนาดา แม้ยังไม่มีหลักฐานการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
- ในกัมพูชา (มีนาคม-พฤษภาคม): พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ส่งผลให้มีการยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดข้ามพรมแดน
- การตรวจพบเชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม: ในสหรัฐฯ มีการยืนยันเชื้อ H5N1 ในวัวนม แมว และสุนัขในเดือนมิถุนายน เป็นครั้งแรกที่พบการระบาดในสัตว์หลายสายพันธุ์ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสกลายพันธุ์ให้เชื้อมีศักยภาพแพร่สู่มนุษย์ได้ง่ายขึ้น
- การพบเชื้อในสุกร (กรกฎาคม): ที่รัฐโอเรกอน การติดเชื้อในสุกรถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ของการกลายพันธุ์ที่รุนแรงขึ้น
ความเสี่ยงจากการกลายพันธุ์:
H5N1 มีการพัฒนาความสามารถในการจับตัวรับเซลล์ของมนุษย์และนก เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC) แนะนำให้เก็บตัวอย่างจากเยื่อบุตาเพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมและเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องมีต้นกำเนิดจากภูมิภาคเอเชียหรือแอฟริกาเสมอไป สหรัฐอเมริกาและทวีปอเมริกาเหนืออาจเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ได้เช่นเดียวกับกรณีไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 ที่แม้จะมีชื่อเรียกที่ทำให้เข้าใจผิด แต่นักวิจัยจำนวนมากเชื่อว่ามีจุดเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกา
3. โรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำที่มีแนวโน้มการแพร่ระบาดสูง
I. โรคฝีดาษวานร (Mpox): พบการระบาดของสายพันธุ์ย่อย "clade Ib" ในแอฟริกา มีอัตราการแพร่กระจายสูงและอาการรุนแรงในบางกรณี ผู้ป่วยมักมีผื่นตุ่มหนองและต่อมน้ำเหลืองโต การป้องกันประกอบด้วยวัคซีน JYNNEOS และการแยกผู้ป่วย
II. ไวรัสมาร์บูร์ก: เกิดการระบาดในรวันดาในเดือนมิถุนายน มีอัตราการเสียชีวิต 23% อาการได้แก่ ไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย และมีเลือดออก การควบคุมเน้นการกักตัวและรักษาประคับประคอง ภารกิจ 100 วันในการควบคุมการระบาดของไวรัสมาร์บูร์กในรวันดาประสบความสำเร็จ โดยมีการดำเนินการที่รวดเร็วทั้งการฉีดวัคซีนทดลองให้บุคลากรทางการแพทย์กว่า 1,700 คนภายในหกสัปดาห์ และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมาในแอฟริกาที่ร้อยละ 23 โดยการระบาดสิ้นสุดลงในวันที่ 20 ธันวาคม 2567 หลังจากมีผู้ติดเชื้อ 66 คนและเสียชีวิต 15 คน
III. โรคไอกรน: ระบาดในไทยเดือนสิงหาคม พบการระบาดในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ผู้ป่วยมีอาการไอรุนแรงต่อเนื่อง มาตรการป้องกันคือการฉีดวัคซีน DTP ในเด็ก
IV. ไวรัสโอโรปูเช AM0088: แพร่ระบาดในอเมริกา มีพาหะเป็นแมลงกัดดูดเลือด ผู้ป่วยมีไข้สูง ปวดศีรษะ และปวดข้อ ต้องเน้นการป้องกันแมลงกัด
V. อหิวาตกโรค: แพร่ระบาดในหลายประเทศ มีอาการท้องเสียรุนแรงและเสี่ยงต่อการขาดน้ำอย่างรวดเร็ว การรักษาคือให้สารน้ำและยาปฏิชีวนะ
VI. ฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส: ระบาดในจีนในเดือนพฤศจิกายน และเชื่อมโยงกับ "ช่องว่างทางภูมิคุ้มกัน" ที่เกิดขึ้นจากมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งดำเนินการในช่วงการระบาดของโควิด-19 จึงทำให้ประชากรบางกลุ่มขาดการเผชิญเชื้อไวรัสตามปกติ และมีระดับภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ
VII. โรคดิงกา ดิงกา: ระบาดในยูกันดา มีอาการสั่นคล้ายเต้นรำและไข้สูง ส่งผลกระทบต่อเด็กและผู้หญิงเป็นหลัก ยังคงอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อหาสาเหตุ
4. แนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดในอนาคต
1. การประชุม World Economic Forum 2024: เน้นเตรียมพร้อมรับมือ "โรค X" ผ่านระบบเฝ้าระวัง การประเมินความเสี่ยง และการตอบสนองฉุกเฉิน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุ 10 โรคที่มีความเสี่ยงสูงต่อการระบาดในอนาคต ได้แก่ 1) ไวรัสโคโรนา (SARS-CoV-2) 2) อีโบลา 3) โรคไข้หวัดนก H5N1 4) เมอร์ส (MERS-CoV) 5) ลาสซา ฟีเวอร์ (Lassa Fever) 6) โรคไข้เหลือง (Yellow Fever) 7) ไข้เลือดออก (Dengue) ไวรัสนิปาห์ (Nipah virus) 9) โรคไข้ริฟต์แวลลีย์ (Rift Valley Fever) และ 10) ซิกาไวรัส (Zika Virus) นอกจากนี้ ยังมี "โรค X" ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อโรคที่ยังไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต
2. CEPI (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations) ได้ตั้งเป้าหมายพัฒนาแพลตฟอร์มวัคซีนที่สามารถผลิตวัคซีนใหม่ได้ภายใน 100 วัน เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้น โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาวัคซีนสำหรับเชื้อไวรัสที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและการทดลองทางคลินิก
3. การพัฒนานวัตกรรมวัคซีน เช่น เทคโนโลยี mRNA และโปรตีนลูกผสมที่มีความยืดหยุ่นและรวดเร็วต่อการตอบสนองต่อเชื้อกลายพันธุ์
4. การส่งเสริมการรับวัคซีน HPV และวัคซีนอื่น ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดภาระต่อระบบสาธารณสุข
5. การป้องกันโรคระบาดฤดูหนาว เช่น การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ RSV และการเพิ่มมาตรการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
6. การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์โรคในจีนและทั่วโลก โดยใช้เทคโนโลยี AI และการแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้น
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังเชิงรุก การพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ และการรเสริมสร้างระบบสาธารณสุข ทั้งยังส่งเสริมการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อสร้างความตระหนักรู้และลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หมอยง' บอกไม่ต้องตื่นตะหนกไอกรนคนไทย 50%มีภูมิต้านทาน!
ศ.นพ.ยง ภู่รวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์
สัญญาณอันตราย!สหรัฐพบไวรัสไข้หวัดนกในหมูเสี่ยงระบาดครั้งใหม่
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ศูนย์สนับสนุนพันธกิจ
มาอีกแล้ว! ไวรัสตัวใหม่ 'มาร์บูร์ก' น้องๆอีโบลา
เพจศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ศูนย์สนับสนุนพันธกิจ
ศูนย์จีโนมฯ จับตาโอมิครอน KP.2.3/XEC ลูกผสมพันธุ์ใหม่ แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โอมิครอน KP.2.3/XEC : ลูกผสมสายพันธุ์ใหม่แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า
คู่มือฉบับเร่งด่วนที่เจ้าของควรรู้ 'ไข้หวัดนก' ในแมว-สุนัข
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "31 รัฐในสหรัฐ เผชิญไข้หวัดนกในแมวและสุนัข
จับตา! 'ไข้หวัดนก' ระบาดใหม่ 2 ราย ในกัมพูชา พบเด็กอุ้มซากไก่
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กัมพูชาพบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 รายใหม่ 2 ราย ในจังหวัดตาแก้ว