จตุพรชี้ รัฐบาลพ่อเลี้ยง ขาดพ่อก็จบ ไม่มีคนเกรงใจ

“จตุพร” ชำแหละรัฐบาลพ่อเลี้ยง สะท้อนนายกฯ ยังละอ่อนการเมือง ฉะพ่อก้าวร้าว อาละวาดตบจูบทำเสมือนเป็นนายกฯ ตัวจริง ส่วนลูกแค่ร่างทรง เชื่อขาดพ่อรัฐบาลก็จบ จับตาเชือด “พีระพัง” หลังปีใหม่ ระบุขวางผลประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาด ซัดสหายใหญ่ ทำตัวเป็นแมวเสียศักดิ์ศรีคุมกลาโหม ชมฉายา “อนุทิน- รมต.น้ำ” รู้เท่าทันสถานการณ์บังคับให้เล่นเป็น อยู่ได้ ชี้นายกฯ แพทองโพย เอาแต่อ่านทำภาพลักษณ์ผู้นำหายหมด

24 ธ.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ชำแหละฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2567 ว่าสื่อมวลชนตั้งฉายา “รัฐบาลพ่อเลี้ยง” ตั้งได้ถูกต้องแล้ว เพราะแสดงถึงนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ได้ชัดเจน เสมือนไม่บรรลุนิติภาวะทางการเมือง ต้องให้ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองและคอยจัดการหน้าที่ให้ ดังนั้น พ่อจึงเป็นเหมือนนายกฯ ตัวจริง ส่วนลูกเป็นแค่ร่างทรงของผู้เป็นพ่อ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงขาดพ่อไม่ได้

“ถ้าขาดพ่อวันไหนรัฐบาลก็พังคลื่นวันนั้น เพราะวันนี้เขาใม่ได้เกรงใจลูก แต่เกรงใจพ่อ ดังนั้น รัฐบาลนี้ขาดพ่อไม่ได้ ถ้าขาดพ่อก็จบ วงก็แตก เพราะลูกคำรามไม่ได้เหมือนกับพ่อ ส่วนพ่อครบเครื่องสามารถอาละวาดได้ ตบหัวแล้วจูบปากได้ในเวลามีพฤติกรรมไล่เลี่ยกัน ซึ่งมีความสามารถเหนือคำบรรยาย”

พร้อมทั้งคาดว่า หลังจาก 15 มกราคม 2568 ไม่เกิน 2 เดือนแพทยสภาคงมีผลการตรวจสอบจริยธรรมแพทย์ที่รักษาทักษิณ นอนป่วยชั้น 14 เป็นการรักษาป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ถ้าไม่มีผลตรวจสอบออกมา แต่อาจมีความคืบหน้าเป็นระยะ ดังนั้น เวลาที่เหลืออยู่ของทักษิณจึงแสดงอำนาจทางการเมืองในสนาม นายก อบจ.ได้เต็มที่ และยังทำตัวเป็นร่างทรงนายกฯ ที่มากบารมีเกรงขาม

ส่วนฉายานายกฯ ว่า “แพทองโพย” นั้น นายจตุพร กล่าวว่า การใช้โพยสามารถอ่านได้เท่าที่จำเป็น แต่ระยะหลังนายกฯ อ่านเป็นหลักๆ พอสมควร และหลายเรื่องราวไม่จำเป็นต้องอ่านทุกประโยค อย่างไรก็ตาม นายกฯ ขาดความรู้รอบตัว ดังนั้น คนเป็นนายกฯ ควรต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานแต่ละเรื่อง หากไม่รู้ก็เรียนรู้ได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญไม่จำเป็นต้องอธิบายในรายละเอียด โดยให้คนรู้ทำหน้าที่อธิบายไป

“แต่การอ่านทุกครั้งยิ่งกว่าร้องเพลงคาราโอเกะเสียอีก และยังอ่านผิดอ่านถูกอีก ผมว่าสิ่งสำคัญของการเป็นนายกฯ คือ ความเข้าใจซึ่งเป็นธรรมชาติ และควรอ่านโพยเท่าที่จำเป็น แต่ไม่ใช่ทุกบรรทัดคือความจำเป็น เพราะจะทำให้ความเป็นผู้นำหายไปหมด”

นายจตุพร กล่าวถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหมและรองนายกฯ ซึ่งสื่อมวลชนตั้งฉาย “สหายใหญ่ใส่บู๊ท” ว่า นายภูมิธรรมหรือ “อ้วน” เคยเป็นทีมงานของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาก่อนจะมาอยู่กับทักษิณ ตั้งแต่พรรคพลังธรรมแล้วตั้งพรรคไทยรักไทย ถูกยุบจึงแปลงรูปเป็นพรรคพลังประชาชน และกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

เมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลพรรคไทยรักไทยครั้งแรก นายภูมิธรรม เป็นเลขานุการ รมว.มหาดไทย ช่วง ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นั่งเป็นเจ้ากระทรวง ซึ่งความสัมพันธ์ขณะนั้นเลขาฯกับรัฐมนตรีแทบไม่ได้เจอกันเลย

นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันว่า นายภูมิธรรม เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เข้าป่าจับปืนรบกับกองกำลังรัฐบาลไทยจนทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตร่วมหมื่นคน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแต่ละรัฐบาลไม่ตั้งคนเข้าป่าเป็นรัฐมนตรี เพราะรู้ว่าอดีตสหายเก่ายังสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ ทุกปีไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลและร่วมรำลึกอดีตในแต่ละสมรภูมิ

“การตัดสินใจเอาคุณภูมิธรรมมานั่งเป็น รมว.กลาโหม เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แม้ทหารจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม แต่ความอดทน ความอึดอัด และความไม่สบายใจจากบาดแผลในอดีตนั้น แม้จะจางหายไปมากแล้ว แต่ไม่ต้องการให้มาได้เห็นหน้า อย่ามานั่งใกล้ทหาร จะไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่นไม่ว่ากัน”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อนายภูมิธรรมมาเป็น รมว.กลาโหมในขณะนี้ จะเห็นว่า แค่เรือประมงถูกทหารพม่ายิงและจับลูกเรือขังไว้โดยศาลพิพากษาจำคุกถึง 4-6 ปี ส่วนนายภูมิธรรม เป็นรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบ อ้างแต่จะได้กลับบ้านในวันแล้ววันเล่า ถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับ

ส่วนทหารว้าแดงรุกข้ามเขตแดนเข้ามาตั้งฐานทัพในอาณาเขตไทยก็ไม่มีปัญญาผลักดันให้ออกไป ขณะเดียวกันเครื่องบินรบทหารพม่ารุกล้ำน่านฟ้าไทยถึง 3 ครั้ง แต่ รมว.กลาโหมไทยกลับไม่แสดงความแข็งแรงให้เห็น ไม่มีแม้แต่เสียงคำรามอย่างเสือ กลับทำเงียบราวกับแมวนั่งเป็น รมว.กลาโหม ด้วยเหตุนี้พม่าจึงไม่เกรงใจอย่างชัดเจน

“ชีวิตของคนเรือประมงไทยเป็นเรื่องใหญ่ รมว.กลาโหมควรเดินทางไปเจรจาถึงพม่าก็ไม่ไป และไม่ควรออกปากว่า เป็นการล้ำเขตทะเลจึงถูกจับกุมคุมขัง ขณะที่คนไทยเฝ้าจับตาดูในเรื่องนี้ว่า ชาวประมงจะได้กลับไทยวันไหน ส่วน รมว.กลาโหมแค่สร้างความหวังว่า จะได้กลับหลังปีใหม่โดยการอภัยโทษ ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่ ไม่มีใครกล้ายืนยัน”

อีกทั้งกล่าวว่า นายภูมิธรรม เป็นนักอธิบายปัญหาช่วยนายกฯ ได้ดี จนดูเหมือนเป็นนายกฯ คนที่สอง แต่บาดแผลใจที่มีปมมากมาย แม้วันนี้ยังไม่สำแดงให้เห็น แต่วันข้างหน้าจะกลายเป็นปัญหาระหว่างกองทัพกับ รมว.กลาโหม

ส่วนฉายา “ภูมิใจขวาง” ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า นักการเมืองพรรคภูมิใจไทยได้แยกตัวจากพรรคพลังประชาชนหลังจากถูกยุบพรรค จึงรู้เท่าทันพรรคเพื่อไทย และสร้างความเป็นเอกภาพในพรรคได้ดี เพราะรู้ดีว่า พรรคเพื่อไทยถนัดในการเสี้ยมทำลายพรรคอื่น โดยพลังประชารัฐ ถูดตอกลิ่มจนแตกแยกต้องแบ่งครึ่งพรรคเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุด ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยจึงต้องเล่นให้เป็นเพื่ออนาคตของพรรค

อีกทั้งกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่มีระบบป้องกันแข็งแรง สิ่งสำคัญกล้ายืนขวาง เพราะรู้ว่า ถ้าเดินตามทุกเรื่องจะมีจุดจบไม่ต่างไปจากพรรคชาติไทยของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งโดนยุบพรรคไปพร้อมกับพรรคพลังประชาชน

“วันนี้พรรคภูมิใจไทยรู้เท่าทันทักษิณและพรรคเพื่อไทย จึงต้องเล่นให้เป็นไปกับลีลาของทักษิณ เดี๋ยวด่ากราด แล้วชวนกันไปตีกอล์ฟ คุยดีก็ได้ ตบจูบก็ได้ ดังนั้น ทักษิณจะมองภูมิใจไทยแบบพรรคบิ๊กป้อม (พล.อ.ประวัตร วงษ์สุวรรณ) ไม่ได้ เพราะภูมิใจไทยมีบทเรียนและเคยอยู่ร่วมกับทักษิณมาก่อน”

นายจตุพร กล่าวถึงฉายา “พีระพัง” ของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงานว่า นายพีระพันธุ์กำลังได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับ พล.อ.ประวิตร ถูกแบ่งแยกแบ่งครึ่งพรรคพลังประชารัฐ

ในความเป็นจริงแล้ว การตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในยุคนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ต้องอาศัยเสียง สว. 152 เสียงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บวกกับเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังนั้น นายพีระพันธุ์ เป็น รมว.พลังงาน เพราะเป็นพรรคที่มีเสียงมากที่สุดในการตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาแต่เริ่มต้น

นอกจากนี้พรรครวมไทยสร้างชาติยังมีกลุ่มทุนพลังงานเช่นกัน แม้นายพีระพันธุ์มีเจตนาจะลดราคาพลังงานทั้งน้ำมัน แก๊ส และค่าไฟฟ้าก็ถูกขัดขวางจากกลุ่มทุนผูกขาดที่ทักษิณและนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ประกาศจะทลายให้หมดสิ้น แต่ยังไปตีกอล์ฟ ร้องเพลง สังสรรค์กันสนุกสนาน

“ผมไม่รู้ว่า หลังจากปีใหม่นี้ คุณพีระพันธุ์จะอยู่ได้อีกสักกี่วัน เพราะเขายืนขวางทุกอย่างที่เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาด เขาจึงเป็นอุปสรรคลำดับต่อไปที่ต้องถูกจัดการ ดังนั้น เขาจึงเป็นพีระพังทุกเรื่อง ทุกโครงการที่เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาด คาดว่าคงอยู่ในตำแหน่งไม่ได้นาน ยกเว้นจะมีเสียงคำรามจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่มากด้วยบารมีคอยคุ้มครองไว้”

นายจตุพร กล่าวถึงฉายา “ทวีไอพี” ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมว่า เคยทำงานได้ดีทั้งในช่วงคุมดีเอสไอและเป็นเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถ้้าไม่มีกรณีชั้น 14 แล้ว แทบหาเรื่องมาตำหนิการทำงานไม่ได้เลย ดังนั้น เขาต้องจำยอมรับสภาพปัญหาชั้น 14 และเชื่อว่า คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งในกรมราชทัณฑ์และ รพ.ตำรวจ จะพรั่งพรูออกมาหมดในฐานะพยาน

ส่วนนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกตั้งฉายา “ประชาธิเป๋” นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อบริบทเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้เปลี่ยนแปลงไป ส่วนภาคตะวันออกที่เคยผูกขาด สส. แต่เสียพื้นที่ให้พรรคก้าวไกลจนหมดรูปพรรคใหญ่

ในสนามภาคใต้ แม้การเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือสภาพเดิม แต่นายชวน หลีกภัย ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปตามผู้เลือกตั้งที่เปลี่ยนแบบกลับหลังหัน โดยแต่เดิมนั้นเป็นภาคที่ต่อต้านการใช้เงินทำการเมืองอย่างแข็งแรงที่สุด ซึ่งไม่ใช่ภาคใต้ในวันนี้ ซึ่งคนเป็น สส.แบบเขตเลือกตั้ง ย่อมรู้ดีว่าคะแนนที่ได้รับไม่ใช่เสียงมาจากประชาธิปัตย์แบบเดิมแล้ว

การตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย แน่นอนพรรคประชาธิปัตย์ย่อมถูกด่าทอจากกองเชียร์ของเพื่อไทยและของประชาธิปัตย์เอง แต่วันนี้ไม่มีใครคาดคิดว่าพรรคจะเล็กลงมากถึงขั้้นเหลือแค่ 25 เสียง โดยทรุดต่ำกว่าในวันที่ตกต่ำหนักสุดเมื่อปี 2522 แต่ปีนั้นประชาธิปัตย์ยังได้เสียง 33 เสียงและ กทม.ได้เสียงแค่เขตเดียว ซึ่งถือว่าหนักมาก แต่สามารถฟื้นกลับมาได้เพราะยังไม่เสียหายทางการเมืองไปมากนัก

เมื่อบริบทการเมืองในพื้นที่ประชาธิปปัตย์เปลี่ยนแปลงไป การต่อสู้ทางการเมืองโดยยึดสร้างกระแสแบบเดิมคงยากเสียแล้ว ดังนั้น ฉายาประชาธิเป๋ คนในประชาธิปัตย์ยุคนี้ย่อมรู้ผลของการเมืองตามความเป็นจริง ซึ่งไม่มีหลักการใดจะมายึดได้มั่นคงเสียแล้ว

นายจตุพร กล่าวถึงฉายา “รวม (เพื่อ) ไทยอ้างชาติ” ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า นายเอกนัฏ เคยมีบทบาทเป็นโฆษก กปปส.และลูกเลี้ยงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดังนั้นการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แม้ถูกกดดันรอบทิศทาง แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บฝ่ายเดียว เพราะพรรคเพื่อไทยก็บาดเจ็บไม่แตกต่างกัน

“การที่นายเอกนัฏเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า การต่อสู้ที่ผ่านมันสูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตร เสื้อแดง กปปส. เมื่อผลลัพธ์เป็นอย่างวันนี้ ประชาชนทุกฝ่ายต่างกระอักเลือดกันทั้งสิ้น แม้การเป็นพรรคการเมืองจะไม่รู้สึกอะไร แต่เป็นสัญญาณบอกประชาชนว่า เราจะทะเลาะกันทำบ้าอะไร เมื่อทุกอย่างเขาดีกันหมดแล้ว”

พร้อมย้ำว่า ในส่วนของประชาชน ต้องผูกมิตร พูดคุยกันจัดตั้งฝ่ายประชาชนให้ปักหลักกันใหม่ โดยเอาเรื่องชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เอาเรื่องของนักการเมืองเป็นหลักอีกต่อไป

นายจตุพร กล่าวถึงฉายา “จิราพอ(ล)” ของจิราพร สินธุไพร หรือ “น้ำ” รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ว่า รัฐมนตรีน้ำถูกสถานการณ์การเมืองบังคับให้ต้องอยู่อย่างไร แม้เป็นคนรุ่นใหม่มีศักยภาพ แต่เป็นรัฐมนตรีคุมสื่อ คุม สคบ. ถ้าใช้ศักยภาพแสดงภาพการเมืองจะโดดเด่นยิ่งขึ้น เพราะเป็นคนอภิปรายกรณีเหมืองทองอัคราได้ดี พูดฉะฉานเข้าใจ มั่นอกมั่นใจในข้อมูล จึงเป็นเครื่องหมายการันตีคุณค่าทางการเมือง

อีกอย่าง ถ้ารัฐมนตรีน้ำแสดงศักยภาพเต็มที่แล้ว นายกฯ อุ๊งอิ๊งจะอยู่ในสภาพอย่างใด ดังนั้น การคิดอยู่จึงรู้เพื่ออยู่ให้ได้ต่างหาก ถ้าสำแดงบทบาทได้ครบเครื่องทางการเมืองย่อมโดดเด่น แต่จะอยู่ยากมาก

“ดังนั้น จึงต้องทำตัวเงียบ ไปไหนไปด้วยกันกับนายกฯ ทำหน้าที่ยืนหลังคอยประคับประคอง ถ้าทำตัวเสียงดังกว่าแล้ว จะอยู่ได้สักกี่วัน จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ แต่การนิ่งเงียบทำให้เธออยู่ได้ จึงเรียนรู้ว่าจะอยู่อย่างไร ถ้าอยู่อย่างคนเก่งก็อยู่ไม่ได้นาน เงียบจึงอยู่ได้นาน ไม่สั่งให้พูดก็ไม่พูด วันไหนถ้าทำตัวออฟไซด์จะนั่งเป็นรัฐมนตรียากลำบากมาก”

ส่วนรัฐมนตรีฉายา “กลุ่มโลกลืม” นั้น นายจตุพร กล่าวว่า สองคนเป็น รมช.พาณิชย์ เมื่อรัฐมนตรีว่าการเป็นคนชอบให้ข่าว ถ้ารัฐมนตรีช่วยทำตัวเสียงดังอาจไม่ได้ดูแลงานได้สะดวก อีกอย่างรัฐมนตรีกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นจุดขายของพรรคการเมือง เพราะความเงียบจึงทำให้ทำงานได้สะดวก ส่วนการเป็นคนโลกลืมย่อมไม่เป็นเป้าให้คนสนใจ ดังนั้น เขาจงใจจะทำตัวเป็นคนเงียบ เมื่อเจ้ากระทรวงชอบทำตัวเสียงดังเป็นข่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ขอบคุณสื่อตั้งฉายา ภูมิใจทำประโยชน์บ้านเมือง ปัดขวางใคร อุ้ม 2 รมต.โลกลืม

'อนุทิน' น้อมรับฉายาสื่อทำเนียบฯ ลั่นภูมิใจทำประโยชน์ให้บ้านเมือง ไม่ได้คิดขวางใคร อวย 'แพทองธาร' ตั้งใจทำงาน แจงแทน 2 รมต.โลกลืม 'เพิ่มพูน' พูดน้อยแต่ผลงานอื้อ

'เท้ง' ลุ้น! ฉายาผู้นำฝ่ายค้าน เมินตอบ 'รัฐบาลพ่อเลี้ยง-แพทองโพย'

'เท้ง' ยิ้ม ปัดให้ความเห็น 'ฉายารัฐบาล-นายกฯ' บอกอยากฟังของตัวเองมากกว่า ชี้สื่อทำเนียบ-รัฐสภามีสิทธิ์ตั้งคำถาม พร้อมรับมาสะท้อนปรับปรุงการทำงาน

การเมืองมกรา’68 พรรคร่วมร้อนรุ่มแตกหัก ‘ทักษิณ’ หนาวสะท้านชั้น 14

ทักษิณขยี้หนัก โชว์ภาพตีกอล์ฟขนาบข้างทุนผูกขาด ส่อสื่อสัญญาณรุก “พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ” คาดชะตากรรมไม่แตกต่าง “ประวิตร-พปชร.” ประเมินปี 68 ปมชั้น 14 ทำการเมืองร้อนแรง

'รัฐบาลพ่อเลี้ยง' ฉายารัฐบาลปี67 นายกฯ'แพทองโพย' อนุทิน'ภูมิใจขวาง' วาทะแห่งปี'สามีเป็นคนใต้'

สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายาปี 67 'รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง' ส่วนฉายานายกฯ 'แพทองโพย' 7 รมต.ติดโผ 'บิ๊กอ้วน-อนุทิน-ทวี' พ่วง 3 รมต.โลกลืม

เลขาฯแพทยสภา เปิดขั้นตอนการพิจารณาคดี 'จริยธรรมของแพทย์'

พล.อ.อ.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา โพสต์แผนภูมิแสดงแสดงการพิจารณาคดีด้านจริยธรรมของแพทย์ พร้อมระบุข้อความว่า การดำเนินคดีทางจริยธรรม มีขั้นตอน หลังจากที่ได้รับ เรื่องร้องเรียน ดังนี้