'สุริยะใส' ชี้กกต.เดินถูกทาง หาข้อยุติประเด็น 'ครอบงำ' สร้างบรรทัดฐานทุกฝ่าย

“สุริยะใส” ระบุ กกต.ตั้งอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบ หาข้อยุติประเด็นครอบงำ เป็นการตัดสินใจที่ชอบแล้ว ชี้หากเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยหาข้อยุติ จะเป็นบรรทัดฐานกับทุกฝ่าย สกัดกล่าวโทษหรือทำลายความชอบธรรมกันอีกต่อไป

20 ต.ค.2567 – ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง  กกต.ชงยุบพรรคดีแล้ว จะได้ข้อยุติประเด็น ‘ครอบงำ’ เสียที  ระบุดังนี้ กรณีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองคณะกรรมการการเลือกตั้งรับคำร้องยุคพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรค ที่พบว่ามีมูลจากการครอบงำโดยนายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงการตั้งรัฐบาล เพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร นั้น

ไม่ว่าฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับกฎหมายยุบพรรคการเมือง ก็ควรแสดงจุดยืน ที่ยืนอยู่บนข้อเท็จจริง ทั้งในแง่กฎหมายซึ่งในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีข้อห้ามไว้อยู่ว่าการครอบงำพรรคเป็นความผิดถึง’ขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิ์ กรรมการบริหารพรรค’

และในเชิงข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์การครอบงำที่ถูกร้องเรียนก็พบข้อเท็จจริงที่มีมูลชัดเจนหลายกรรมหลายวาระ จึงเป็นเหตุที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะเพิกเฉยไม่ได้ ฉะนั้นการที่กรรมการการเลือกตั้ง ได้ตั้งอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ชอบแล้ว

ถ้าไม่ดำเนินการเลยปล่อยให้เรื่องนี้ กล่าวโทษกันไปมาโดยใช้กฎหมายข่มขู่กันไปมาตลอดระยะเวลานับ 10 ปีที่ผ่านมาเรื่องนี้ไม่เคยถึงศาลรัฐธรรมนูญเลย

ฉะนั้นมองอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเรื่องนี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญในฐานะองค์กรวินิจฉัยสูงสุดเพื่อวินิจฉัยหาข้อยุติอันจะเป็นบรรทัดฐานกับทุกฝ่าย จะได้ไม่หยิบยกเรื่องนี้มากล่าวโทษหรือทำลายความชอบธรรมกันอีกต่อไป

ส่วนกฎหมายยุบพรรคแรงหรือไม่แรงนั้นถ้าจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องไปถกแถลงกันในช่วงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต

ส่วนตัวมองว่าพรรคการเมืองไทย ควรพยามทำให้เป็นสถาบันทางการเมือง อย่าผูกอยู่กับตัวบุคคล และปล่อยให้บุคคลที่อยู่นอกพรรคและไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมาครอบงำชี้นำแบบที่เป็นอยู่ด้วยกันหลายพรรคในขณะนี้

ถ้าพรรคการเมือง ใดที่พยายาม จะทำให้ พรรคตัวเองเป็นสถาบันก็ไม่ต้องกลัวเรื่องพฤติกรรมการครอบงำบงการหรือพยายามไปแสวงหาผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคซึ่งมันย้อนแย้งกัน.