'จักรภพ เพ็ญแข' แชร์ 6 ประสบการณ์จากการติดโควิด วางแผนไว้ว่าถ้าจู่ๆตายไปจะฝากอะไรไว้ให้ใครบ้าง

ถือโอกาสทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำเสียเลยในตอนนี้ กรณีผมคือวางแผนไว้ว่าถ้าจู่ ๆ ตายไปจะฝากอะไรไว้ให้ใครบ้าง ผมไม่ได้ตั้งใจจะตายหรือป่วยหนัก แต่โรคนี้ทำให้ผมเกิดมรณานุสติและคิดถึงคนข้างหลังเรามากขึ้น

18 ม.ค.2565- นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง โพสต์เฟซบุ๊ก อัพเดทการป่วยโควิด-19 ของตนเองว่า ส่งข่าวพี่น้องที่รักว่า ผลการตรวจ PCR ล่าสุดของผมออกมาเป็น “ลบ” หรือ “negative” แล้วครับ หมดเชื้อ ทำให้สบายใจขึ้นเยอะ แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งคือ การป้องกันตัวเองด้วยวัคซีนเพิ่ม (เมื่อถึงเวลา) การสวมหน้ากาก การหมั่นฆ่าเชื้อ และการปรับกิจกรรมในชีวิตให้เสี่ยงน้อยลง เช่น เลี่ยงการรวมกลุ่มที่ไม่จำเป็น เป็นต้น เพราะเชื้อโรคยังทำงานวิวัฒนาการของมันอยู่ เป็นวอร์รูมที่ยังวางแผนรบ ปรับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางเอาชนะเผ่าพันธุ์มนุษย์ เรายังประมาทและปล่อยการ์ดตกไม่ได้

อยากขอแชร์บทเรียนหลัก ๆ จากคราวนี้เพิ่มเติมครับ เพราะใจผมอยากให้เกิดประโยชน์กับท่านจากทุก ๆ กรรมที่เกิดขึ้นกับตัวผม บางประเด็นก็อาจจะรู้กันแล้ว แต่นี่คือประสบการณ์ขั้นปฐมภูมิ ได้รับมาด้วยตัวเอง ไม่ได้ฟังใครต่อมา ก็น่าจะช่วยอะไรในเผ่าพันธุ์ของเราได้บ้างจากความสดของประสบการณ์

  1. ถ้าพลาดพลั้งเกิดติดขึ้นมา (ซึ่งขอภาวนาอย่าให้ท่านโดนเลย) อย่าตกใจ คุมสติให้ได้ก่อน คิดถึงสถานที่ที่ตัวเองจะแยกอยู่คนเดียวได้และมีคนดูแล หรือไม่มีคนดูแลก็เป็นที่ที่ออกมาทำอาหารหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้เองโดยไม่ต้องเสี่ยงแพร่เชื้อให้ใคร การไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นก็เรื่องหนึ่ง ตัวเองก็ต้องระวังไม่ให้รับเชื้อเพิ่มด้วย สถานที่ที่ลงตัวในการกักตัวเองจึงเป็นเรื่องแรกที่ต้องคิด
  2. เวลาที่หมดเชื้อสำหรับผม ไม่ใช่แค่ 10 วัน แต่รวมแล้วเป็น 15 วัน (14 หรือ 15 ก็ได้) ผมจึงแนะนำว่าอดทนกักตัวเองให้ได้นานถึง 14 วันเถอะครับ ยิ่งค่าตรวจ PCR แพงอย่างในเมืองไทย การตรวจบ่อยก็ยิ่งทำให้เสียเงินมาก ตอนนี้ยิ่งต้องระวังทุกบาททุกสตางค์กันอยู่ ผมจึงแนะนำให้อึดยาวไปเลย 2 อาทิตย์จึงค่อยตรวจใหม่
  3. เรื่องสำคัญระหว่างกักตัวคือ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อลดอาการของโรค โรคนี้จะทำให้เราจับไข้ หรือครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว เจ็บคอหรือคันคอ บางทีมีท้องเสีย อ่อนเพลีย ตั้งสมาธิไม่ค่อยได้ เราจึงต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน แต่ผมแนะนำได้เฉพาะในสิ่งที่ผมทำ จะสอดคล้องกับตัวท่านหรือไม่ขอให้พิจารณาอย่างแยบคายก่อน ผมกินอาหารทุกอย่างที่เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยเฉพาะขิงสด มะนาวสด น้ำผึ้ง ลดอาหารที่กระแทกตัวเราเพิ่มขึ้น เช่น ของมัน ของเย็น ๆ อาหารที่ย่อยยาก เป็นต้น ผมลดกินแป้งและเนื้อสัตว์ กินผักผลไม้มากขึ้น บางมื้อกินแต่ผลไม้อย่างเดียวเหมือนโยคีก็มี เลิกกินไอศกรีมของโปรด ดื่มของร้อน ๆ เป็นประจำ (แต่ผมซึ่งไม่ค่อยได้ดื่มชา ก็ดื่มจนเกิดท้องผูก ทำให้เกิดภาวะทั้งท้องเสียและท้องผูกสลับกันไป ใครไม่คุ้นก็พึงระวัง) น้ำร้อนใส่น้ำมะนาวและเกลือก็ดีมาก ต้นทุนถูกและดื่มได้เรื่อย ๆ หลักการใหญ่คือช่วยร่างกายทำลายเชื้อโรคด้วยการเพิ่มภูมิให้กับร่างกายอย่างตั้งใจและต่อเนื่อง
  4. เรื่องยา ผมกินยา 2-3 อย่างอย่างที่เล่าไปในครั้งก่อน ๆ กินยาจีนเหลียนหัวจากท่านนายกทักษิณ กินยาฝรั่ง Amoxil ที่หมอท้องถิ่นให้ไปซื้อ และบางวันก็กินแอสไพริน ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาโฆษณาให้ยาไหน แต่ต้องการจะแนะนำท่านว่า ยังไม่มียาเฉพาะตัวสำหรับโรคนี้ เราจึงต้องกินแบบเก็บเล็กผสมน้อยไปพลางก่อน โดยสังเกตตัวเองอย่างใกล้ชิดเหมือนทำงานวิจัย ว่าอะไรได้ผลและไม่ได้ผลกับตัวเอง เรื่องนี้ยังไม่มีเทวดาที่ไหนมาให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบกับเราได้
  5. เรื่องออกกำลังกายระหว่างกักตัว สำคัญมาก เพราะเราต้องมีแรงที่จะหายครับ ไม่งั้นร่างกายมันจะเอาอาวุธที่ไหนไปสู้กับเชื้อโรค ผมออกกายบริหารจนรู้สึกเหนื่อยและเหงื่อออก ออกไปรับแดดบ้างเป็นช่วง ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ถึงกับทำเป็นตารางไว้ แต่ผมออกเรื่อย ๆ ให้สวนทางกับความรู้สึกขี้เกียจและอ่อนแอ ยิ่งมันทำท่าปวกเปียกขึ้นมา เราก็สู้มันด้วยการออกแรงเพิ่ม ตามหลักการโบราณที่ว่า ออกแรงจึงได้แรง เราไม่สามารถ “ขอแรงหน่อยเถอะ” อย่างที่ศรีบูรพาท่านเขียนเตือนพวกที่ชอบกินแรงคนอื่นเอาไว้แล้ว วิธีออกกำลังกายก็ขึ้นอยู่กับท่านครับ ทำตามที่ชอบและใฝ่ใจ แต่ต้องให้เหนื่อยนะครับ ถ้าออกแล้วไม่เหนื่อยนั่งดูหนังยังบริหารหัวใจได้มากกว่า
  6. ถือโอกาสทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำเสียเลยในตอนนี้ กรณีผมคือวางแผนไว้ว่าถ้าจู่ ๆ ตายไปจะฝากอะไรไว้ให้ใครบ้าง ผมไม่ได้ตั้งใจจะตายหรือป่วยหนัก แต่โรคนี้ทำให้ผมเกิดมรณานุสติและคิดถึงคนข้างหลังเรามากขึ้น สำหรับผมแล้วการเอาเวลามาคิดเรื่องนี้ทำให้ผมสบายใจขึ้น ไม่ต้องแอบคิดแบบอ้อม ๆ ให้มันขุ่นใจกับตัวเอง คิดตรง ๆ เลยครับว่าถ้าเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นเราจะมอบหมายอะไรใครต่อบ้าง เรื่องลางหรืออัปมงคลอยู่ที่เจตนาของเราเอง เรื่องนี้ไม่ได้ซ้ำเติมเราแบบนั้น มีแต่จะช่วยให้ได้สติขึ้นว่าเราเกิดมาในโลกนี้เพื่อทำอะไร ทำเพื่อใคร และทำอย่างไร

ผมได้รับบทเรียน 6 เรื่องนี่ล่ะครับ อยากแชร์กับท่านไว้ ชีวิตของเราจะยิ่งใหญ่หรือมีความหมายขนาดไหน ขึ้นอยู่ว่าเราบริหารมันอย่างไร เราต่างก็มีชีวิตที่เท่ากัน ถึงทุนนิยมจะชอบเตือนว่ามนุษย์เราไม่เท่ากัน ก็ช่างหัว อดัม สมิธ มันปะไร เราให้ความหมายและความสำคัญกับตัวเอง โดยไม่สร้างอัตตาให้ขยายใหญ่ตามไปด้วย ก็ถือว่าเท่าเทียมกันได้เสมอครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'จักรภพ' จูงมือคู่ชีวิต พบ 'ทักษิณ' เชิญเป็นสักขีพยานจดทะเบียน 'สมรสเท่าเทียม'

นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก และ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วานนี้ (3 มกราคม) ตนพร้อมด้วย นายสุไพรพล ช่วยชู หรือ ป๊อบ คู่ชีวิต เดินทางเข้าพบ ดร.ทักษิณ ชินวัต

‘หมอยง’ สะท้อนความรู้สึกโควิด-19 ปีที่ 2 'ยุ่งเหยิง-ดราม่าวัคซีน-เซียนคีย์บอร์ด'

หลังการระบาดใหญ่ทั่วโลก ในปีแรก ทุกคนมุ่งหวัง ที่จะยุติการระบาดด้วยวัคซีน จึงมีการผลิตคิดค้นวัคซีนกันมากมาย มากกว่า 10 platform

'จักรภพ' รับร่วมงานท็อปนิวส์ หวังรวมขั้ว-ไทยเป็นหนึ่งเดียว

นายจักรภพ​ เพ็ญ​แข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กยอมรับว่า เป็นเรื่องจริงที่ทางท็อปนิวส์เชิญตนมาหารือพูดคุย