จองเวรต่อ! ยกผลสอบ กสม. สอย 'นายกฯอิ๊งค์' พ่วง 2 รมต.

‘เรืองไกร’ จองเวรต่อ! ยกคำวินิจฉัย กสม. ร้อง กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญ สอย ‘นายกฯอิ๊งค์’ พ่วง ‘สมศักดิ์-ทวี’ ส่อขัด ม.160 ฝ่าฝืนจริยธรรมข้อ 8

27 ก.ย. 2567 – นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ว่า กรณีเสนอชื่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และกรณีเสนอชื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) รวมทั้งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า หลังจากศึกษารายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.
) ที่ 221/2567 วันที่ 30 ก.ค. 2567 ซึ่งมีทั้งสิ้น 20 หน้า พบว่า มีเหตุอันควรขอให้ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ด้วยเว็บไซต์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบ ที่ 221/2567 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เรื่อง การเลือกปฏิบัติและสิทธิของผู้ต้องขัง กรณีร้องเรียนว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ความละเอียดนายกรัฐมนตรีควรทราบแล้วนั้น

ข้อ 2 รายงานผลการตรวจสอบ ที่ 221/2567 หน้า 18 ข้อ 3.7 ระบุไว้ว่า

“3.7 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเห็นว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีตามคำร้องนี้ นอกจากจะมีสาเหตุเกิดจากการกระทำหรือละเลยการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐแล้ว ยังมีสาเหตุจากกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ข้อ 5 (2) ที่กำหนดห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ ซึ่งเปิดโอกาสให้สถานที่รักษาใช้ดุลพินิจโดยขาดการพิจารณาจากเรือนจำที่ส่งตัวผู้ต้องขังออกไป และข้อ 7 ในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีที่ผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นเวลานานเกิน 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน ให้ผู้บัญชาการเรือนจำมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีและรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อทราบตามลำดับชั้น พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีข้อกำหนดว่าหากเลยระยะเวลา 120 วันไปแล้ว ต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้ผู้ต้องขังรักษาอาการป่วยนอกเรือนจำได้เป็นระยะเวลานานเกินไปโดยไม่มีการตรวจสอบ อีกทั้งการที่ผู้ต้องขังรักษาตัวเกิน 60 วัน และ 120 วัน แต่ให้ผู้บัญชาการเรือนจำขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์และรายงายปลัดกระทรวงยุติธรรมหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้วแต่กรณีเพื่อทราบเท่านั้น ย่อมก่อให้เกิดภาวการณ์ตรวจสอบถ่วงดุลและนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งในกรณีดังกล่าวต่อไป”

ข้อ 3 รายงานผลการตรวจสอบ ที่ 221/2567 หน้า 20 ข้อ 4.2.3 ระบุไว้ว่า

“4.2.3 ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ให้กระทรวงยุติธรรมแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ดังนี้

1) แก้ไขข้อ 5 (2) ที่กำหนดห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ โดยควรกำหนดว่า “ในกรณีสถานที่รักษาผู้ต้องขังมีความจำเป็นต้องให้ผู้ต้องขังพักรักษาในห้องพิเศษหรือห้องอื่นนอกเหนือจากห้องปกติ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเรือนจำและกรมราชทัณฑ์เสียก่อน เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่หากไม่ดำเนินการทันทีจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ต้องขังนั้น ให้ดำเนินการไปก่อนแล้วรีบขอความเห็นชอบ โดยต้องระบุเหตุผลความจำเป็นประกอบการขอความเห็นชอบนั้นด้วย”

2) แก้ไขข้อ 7 ในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีที่ผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นเวลานาน ให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้วแต่กรณี ต้องให้อำนาจในการพิจารณาความเห็นของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ประกอบความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา มิใช่เพียงรับทราบ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ต้องขังรายหนึ่งรายใดได้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยไม่มีเหตุอันควร”

ข้อ 4 กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ให้ไว้ ณ วันที่ 25 กันยายน 2563 โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 วรรคหนึ่ง และมาตรา 55 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการราชทัณฑ์

ข้อ 5 พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 7 บัญญัติว่า

“มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้”

ข้อ 6 ดังนั้น กรณีตามรายงานผลการตรวจสอบของ กสม. ที่ 221/2567 วันที่ 30 ก.ค. 2567 จึงอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 2 คน คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ซึ่งต่อมาทั้งสองคนยังคงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรีโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ข้อ 7 หากพิจารณาตามแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 21/2567 เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ย่อมจะทำให้เห็นได้ว่านายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) จะต้องรู้หรือควรรู้ตามรายงานผลการตรวจสอบของ กสม. ที่ 221/2567 วันที่ 30 ก.ค. 2567 อยู่แล้วว่า กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 มีการออกมาเพื่อการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ต้องขังรายหนึ่งรายใดได้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยไม่มีเหตุอันควร และเป็นช่องว่างให้ผู้ต้องขังรักษาอาการป่วยนอกเรือนจำได้เป็นระยะเวลานานเกินไปโดยไม่มีการตรวจสอบ อีกทั้งการที่ผู้ต้องขังรักษาตัวเกิน 60 วัน และ 120 วัน แต่ให้ผู้บัญชาการเรือนจำขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์และรายงานปลัดกระทรวงยุติธรรมหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้วแต่กรณีเพื่อทราบเท่านั้น ย่อมก่อให้เกิดภาวการณ์ตรวจสอบถ่วงดุลและนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิดได้

ข้อ 8 กรณีที่นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) รวมทั้งบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรู้หรือควรรู้ว่ามีรายงานผลการตรวจสอบของ กสม. ที่ 221/2567 วันที่ 30 ก.ค. 2567 ออกมาแล้ว แต่ไม่นำมาประกอบการพิจารณาแต่งตั้งรัฐมนตรี จึงอาจทำให้นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) รวมทั้ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหรือเคยมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 ที่กำหนดว่า “ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” ดังนั้น กกต. จึงควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักร้องรุ่นใหญ่ ยื่นผู้ตรวจส่งศาลรธน. วินิจฉัยเลือกตั้งสส.-สว.เป็นโมฆะ?

ที่สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ไต่สวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่อาจเข้าข่ายกระทำ

'ปธ.วันนอร์' ยัน 'จริยธรรมการเมือง' ยังจำเป็น แต่ไม่สูงไปจนผู้นำระแวง

'ปธ.วันนอร์' ย้ำมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองยังจำเป็น แต่ต้องไม่สูงจนผู้นำระแวง ผวาร้องจนทำงานลำบาก แจง สส.ลาประชุม เหตุกม.เปิดช่อง ชี้ กก.จริยธรรมใกล้ได้องค์ประชุมครบ ลุยสอบ 'ลุงป้อม'

นายกฯกดปุ่ม 30 รักษาทุกที่ โว 98%พอใจนโยบาย ผ่านมานับสิบปียังมีคนขอบคุณ

นายกฯกดปุ่ม 30 รักษาทุกที่ ตั้งเป้าปีนี้ครอบคลุมทั่วประเทศ โว98%พอใจนโยบาย ผ่านมานับสิบปียังมีคนขอบคุณ เผยสมัย 'พ่อแม้ว' นั่งนายกฯ ภาคภูมิใจชาวบ้านปลื้มผ่าตัดโรคหัวใจฟรี

ถกนัดแรก‘5กุนซือ’นายกฯอิ๊งค์ ปักธง‘ไทยพ้นยากจน’รัฐบาลนี้

ได้ฤกษ์รัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์”-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถกนัดแรก “คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี” ที่ บ้านพิษณุโลก บ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเรือนรับรองแขกสำคัญของรัฐบาล