เปลี่ยน perception เรื่องข้าว10ปีทำได้ไม่ง่าย เหตุนักการเมืองเชื่อใจไม่ได้

24 พ.ค.2567 - วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า

ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจ้งผลตรวจสอบทางแล็บว่า ไม่พบพิษใน 'ข้าวที่ตรวจ'
(โปรดสังเกตการใช้คำว่า 'ข้าวที่ตรวจ')
ก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป มีคนเชื่อ มีคนไม่เชื่อ มีคนเชื่อแต่ไม่กิน มีคนไม่เชื่อและไม่กิน
ทำให้นึกถึงศัพท์ทางการตลาดสำคัญมากๆ เป็นหัวใจของการตลาด
คือ perception
แปลเป็นไทยว่า การรับรู้ ความเข้าใจ
แต่อาจารย์ที่สอนวิชาการตลาดของผมอธิบายว่า "Perception is what you see."
perception คือสิ่งที่เราเห็น
สิ่งที่เราเห็นไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง มันเป็นสิ่งที่เราเข้าใจอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น
ยกตัวอย่าง เช่น พระ ก. เป็นอลัชชี แต่ประชาชนมี perception ว่าเขาเป็นพระดี ก็ยังไปถวายปัจจัยให้พระ ก. ต่อ ไม่ว่าจะแสดงหลักฐานว่าพระ ก. เป็นอลัชชีชัดเจนแค่ไหน ก็ไม่ฟัง เพราะมี perception อย่างนั้นแล้ว
หากเราสามารถทำให้ perception ของคนต่อสินค้าเป็นด้านบวก ตั้งราคาสูงเท่าไร คนก็ซื้อ
การตั้งราคาสินค้าตาม perception จึงสูงกว่าตั้งราคาตามต้นทุน
สินค้าแบรนด์เนมทั้งหมดจึงขายได้เพราะปรับ perception ของคนได้
นักการเมืองที่เก่งจะพยายามคุม perception ของประชาชน คุมได้เมื่อไร ก็ชนะเลือกตั้งเมื่อนั้น
มองมุมนี้ perception จึงสำคัญกว่า fact
มันไม่สำคัญว่าคุณพูดความจริง แต่อยู่ที่คนเชื่อหรือเปล่า
ในกรณีข้าวสิบปี ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะโชว์การกินกี่ครั้ง หรืองัดหลักฐานการตรวจจากสถาบันไหน ดูเหมือน perception คนไทยยังอยู่ในด้านไม่เชื่อ
หากรัฐบาลจะโน้มน้าวใจให้ใครกินได้จริงๆ ก็ต้องเปลี่ยน perception ของคนต่อเรื่องนี้ ให้คนเชื่อด้วยหัวใจเต็มร้อยว่า ข้าวปลอดภัยจริง
แต่การเปลี่ยน perception เรื่องข้าวนี้ทำได้ไม่ง่าย เพราะต้องเริ่มที่เปลี่ยน perception ของคนที่มองนักการเมืองว่าเป็นพวกเชื่อใจไม่ได้
เหตุการณ์นี้ทำให้เชื่อว่า ไม่น่าจะมีข้าวยี่ห้อไหนกล้าปลอมปนข้าวสิบปี เพราะในทางการตลาดคือการฆ่าตัวตาย ข้าวยี่ห้อใดทำหรือแค่มีข่าวพัวพัน ก็เลิกกิจการได้เลย เพราะมันตรวจสอบไม่ยาก แค่ล้างสองน้ำไม่สะอาด ก็เป็นข่าวในโซเชียลทันที และไม่ว่าจริงหรือไม่จริง มันจะสร้าง perception ใหม่ที่จะทำลายข้าวยี่ห้อนั้น
perception ที่ดีต่อสินค้าสร้างยาก ทำลายง่าย
วินทร์ เลียววาริณ