'อัษฎางค์' เปิดต้นตอใครชักนำหรือจูงใจ 'บุ้ง' สู่เส้นทางนี้

15 พ.ค.2567 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ทะลุวังเสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค.ในหัวข้อ “บุ้ง ตอนที่ 1 ปฐมบทก่อนไปถึงจุดสิ้นสุด ”ใครชักนำหรืออะไรจูงใจให้บุ้งเข้าสู่วงการ“

โลกในทวิตเตอร์ คือจุดเปลี่ยนของชีวิตของบุ้ง

BBC THAI เคยรายงานข่าว จากปากคำของโบ พี่สาวของบุ้งว่า…

บุ้งเคยเป็นคนที่คอยบอกเพื่อน ๆ นักเรียนอยู่เสมอในฐานะคณะกรรมการนักเรียนว่า ต้องดูแลทรงผมให้เรียบร้อย เสื้อผ้าต้องทำให้ถูกระเบียบ แต่เขาเริ่มเอะใจว่า ทำไมมีเพื่อนที่เห็นต่าง มีเพื่อนที่คัดค้านเรื่องทรงผม จึงทำให้ได้ฉุกคิดว่า ตัวกฎระเบียบก็ไม่ได้แฟร์ (ยุติธรรม) สำหรับกลุ่มคนหลายกลุ่ม หากฝ่าฝืนถึงขั้นคาดโทษกัน รวมทั้งกลุ่ม LGBTQ ที่พวกเขาต้องการแต่งตัวอีกแบบ

ในระหว่างสัมภาษณ์ โบได้หยิบภาพเก่า ๆ ที่เตรียมมาด้วย และมีท่าทีภูมิใจเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนของน้องสาวคนนี้ว่า "เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็ไม่แพ้ใคร" พร้อมกับบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่เห็นตรงกันเกี่ยวกับบุ้งคือ การเลี้ยงดูให้น้องเป็นคนมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก

จากคำถามที่ผุดขึ้นในความคิดต่อระเบียบควบคุมนักเรียนระหว่างที่บุ้งเป็นคณะกรรมการนักเรียนยังคงทำงานของมันต่อผลที่ตามมาคือการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่ม "นักเรียนเลว"

ที่กลายเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ต้องการส่งเสียงเพื่อสิทธิตัวเอง (speak for yourself) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการไว้ทรงผมนักเรียน ซึ่งประสบผลสำเร็จจนทำให้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในระหว่างปี 2563 มีระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม

บุ้งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมน้อมฯ ได้เอง และผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก 3.8, 3.9 และ 4.0 สลับกันไป กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ขาด

โบยอมรับว่า ครอบครัวของเธอเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เมื่อปี 2557 ที่กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดรัฐประหารขึ้น ซึ่งในขณะนั้นบุ้งยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
หลังจากนั้นเมื่อบุ้งได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้เปิดโลกกว้างมากขึ้นจากข้อมูลชุดใหม่ผ่านสังคมออนไลน์อย่าง “ทวิตเตอร์” ซึ่งมีการถกเถียงประเด็นสังคมอย่างกว้างขวางและหลากหลาย
จากทวิตเตอร์ ตามมาด้วยช่อ พรรณิการ์-ทนายอานนท์

The Thaiger รายงานว่า…เส้นทางชีวิตของบุ้งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบตัวเอง ในวัยเยาว์ เธอเคยหลงใหลในอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. แต่แล้ววันหนึ่ง ประกายไฟแห่งความจริงก็ได้จุดประกายความคิดของเธอให้เปลี่ยนไป

“ช่อ พรรณิการ์ วานิช คือผู้จุดประกายนั้น”
เธอเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนไร้บ้านที่ถูกสไนเปอร์ยิง ความจริงอันโหดร้ายนี้ ทำให้เธอตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และความรู้สึกผิดต่อผู้ที่สูญเสียก็หลั่งไหลเข้ามา

จุดกำเนิด “โพลทะลุวัง”: เมื่อคำถามกลายเป็นอาวุธ
ความคิดที่จะใช้ “คำถาม” เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจบุ้ง หลังจากได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปกับ ”ทนายอานนท์ นำภา“ ผู้ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการตั้งคำถามสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112

ใครกัน อำมหิตหลอกใช้เยาวชนและประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากนักเรียนดีสู่การเป็นสมาชิกกลุ่มนักเรียนเลว ต่อเนื่องไปสู่กลุ่มทะลุวัง เกิดจากการที่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนหลงผิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน ปลุกปั่นจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองจากผู้ไม่หวังดีต่อประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติหรือไม่

หากจะหาผู้มีส่วนต่อการจากไปของบุ้งหรือคนอื่นๆ ที่ถูกดำเนินคดีในเรื่องที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ก็คงต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องร่วมมือกันป้องกันและกำจัดผู้ไม่หวังดี ที่ใช้ยุทธวิธีทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารมาปลุกปั่นเยาวชนและประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองของไทย

อย่างไรก็ตาม เราในฐานะประชาชนคนไทยทุกคนมีส่วนในการป้องกันหรือกำจัดคนที่อำมหิตเหล่านั้น ก่อนจะเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรผมในฐานะคนไทยก็รู้สึกเสียใจและไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับบุ้งและคนอื่นๆ
ดังนั้นเราคนไทยทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและกำจัดขบวนการเหล่านี้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อัษฎางค์’ ถาม ทำไมพรรคเพื่อไทย ใช้เด็กฝึกงานมาเป็นผู้นำประเทศ

การใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น iPad ในการเจรจาทางการทูต ไม่ได้แสดงถึงความทันสมัยและการเปิดรับเทคโนโลยี แต่เป็นภาพลักษณ์ที่อาจถูกตีความในเชิงลบ