13 เม.ย.2567 - รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ข้อสรุปเรื่อง digital wallet ที่แถลงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 ตอกย้ำอย่างไม่ต้องสงสัยว่า เมื่อก่อนเลือกตั้ง ที่หาเสียงว่า ทำได้ทันที ไม่ต้องกู้เงิน และได้คิดกันมาดีแล้ว ว่าล้วนเป็นราคาคุย แถลงทุกครั้งเปลี่ยนจากเดิมทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนออกมาลอยหน้าลอยตาแถลง ประหนึ่งว่าไม่ได้เคยประกาศหาเสียงดังที่ว่ามาก่อนเลย หรือนี่คือ DNA ที่ไม่เพียงส่งต่อลงมาถึงตัวหัวหน้าพรรค แต่ยังลงมาถึงบรรดา ส.ส.และนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของพรรคกันโดยทั่วหน้า
รัฐบาลพยายามดึงดันหรือจะเรียกว่าดันทุรังที่จะขับเคลื่อนนโยบาย digital wallet ให้ได้ แต่ด้วยความกลัวติดคุกจึงไม่ไม่กล้าออกพ.ร.บ.เงินกู้ เปลี่ยนมาเป็นขยายวงเงินขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งก็คือการกู้เงินเพิ่มนั่นเอง และจะกู้เงินจากธกส. ทั้งที่หนี้จำนำข้าวยังค้างอยู่กว่า 2 แสนล้านบาท และนำเงินเหลือจ่ายจากงบประมาณ 2567 มาสมทบ ซึ่งจะให้ได้เงินมากพอ คงจะต้องไปเบียดบังงบประมาณมาจากงบของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
การดันทุรังทั้งที่แทบไม่มีใครเห็นด้วย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และปปช.ไม่เห็นด้วย จะมีก็แต่คนในพรรคเพื่อไทยที่เห็นด้วย แต่ก็ยังจะทำให้ได้ จะกลายพันธุ์ไปอย่างไร ก็จะต้องทำ นี่ไม่น่าจะใช่เป็นเพราะหาเสียงมาแล้ว กลัวเสียหน้ากลัวเสียคะแนนเสียงจึงจะต้องทำให้ได้ แต่น่าจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งก็ไม่ทราบว่าคืออะไร
เงื่อนไขที่แถลงออกมาล่าสุด ไม่ใช่เพียงแตกต่างจากที่หาเสียงไว้ และจากที่แถลงครั้งก่อนๆ แต่ยังแตกต่างจากเงื่อนไขที่แถลงครั้งที่แล้วอย่างมาก โดยครั้งนี้จะจ่ายผ่าน super app ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่ และให้เฉพาะผู้มีอายุ 16 ปีชึ้นไป ที่มีรายได้พึงประเมินไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท และให้ผู้มีสิทธินำเงิน digital ซื้อสินค้าเฉพาะจากร้านค้าย่อยระดับอำเภอตามทะเบียนบ้าน ซึ่งต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น
ร้านค้าย่อยเมื่อขายสินค้ารับเงิน digital มาแล้วไม่สามารถขึ้นเงินสดได้ ต้องนำเงิน digital นี้ไปซื้อของต่อจากรัานค้าอื่นใดก็ได้ไม่จำกัดขนาด ที่ไหนก็ได้อีกทอดหนึ่ง ในรอบที่ 2 นี้ ร้านค้าที่เป็นผู้ขาย และได้รับเงิน digital มา จึงจะขึ้นเงินสดได้ นั่นหมายความว่า ร้านค้าขนาดเล็กไม่สามารถไปขึ้นเงินสดได้ในรอบแรก หากเป็นผู้ขายในรอบที่ 2 จึงจะขึ้นเงินสดได้
ดังนั้น ทั้งการที่ต้องอยู่ในระบบภาษี ทั้งการที่ยังขึ้นเป็นเงินสดไม่ได้ในรอบแรก ถามว่าจะมีร้านค้าย่อยสักกี่ร้านที่เข้าร่วมโครงการได้ จึงเป็นข้อครหาว่าธุรกิจที่ได้ประโยชน์จริงๆคือธุรกิจขนาดใหญ่ ยิ่งหากเป็นผู้ผลิตซึ่งเป็นบริษักยักษ์ใหญ่ไม่กี่บริษัทจะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ส่วนระยะเวลา ยืนยันว่าจะเริ่มแจกเงิน digital ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ไม่ว่าคนในรัฐบาลจะมีผลประโยชน์แอบแฝงจากนโยบายนี้หรือไม่ แต่นโยบายนี้มีแต่คนค้าน มีแต่คนบอกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจแม้จะมีผลบ้าง แต่ก็เป็นระยะสั้นๆ จึงไม่คุ้มกับการที่ต้องเป็นหนี้มากขนาดนี้ หากรัฐบาลมีเงินเหลือมากจนไม่ต้องกู้อย่างที่คุยโม้ไว้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่ไม่มีเงินเลย ต้องไปกู้มาแจก จึงดูเหมือนว่าผู้ที่จะได้ประโยชน์เต็มๆก็คือบริษัทของเจ้าสัว และพรรคเพื่อไทยที่จะคุยได้ว่า ทำได้ตามที่หาเสียงไว้แล้ว พรรคอื่นๆที่ร่วมรัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ต้องขอยกย่องท่านผู้ว่การธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ท่านยังยืนหยัดคัดค้านอย่างมั่นคง และไม่เข้าประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงินฯ แม้จะอ้างว่าติดประชุมกนง. ก็ตาม
แม้ digital wallet ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย จะเป็นนโยบายรัฐบาลไปแล้ว แต่เงื่อนไขต่างๆที่เปลี่ยนไปจากที่เคยหาเสียงไว้ ทั้งยังน่ากังขาว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงจากนโยบายนี้หรือไม่ จึงน่าสนใจอย่างยิ่งว่าบรรดารัฐมนตรีจากพรรคร่วมร้ฐบาลจะคิดอย่างไร และมีพฤติกรรมอย่างไร จะกล้าคัดค้านนโยบายดันทุรังเช่นนี้หรือไม่
ถึงวันนั้นเราคงจะได้รู้กันว่า ใครทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริงหรือทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและของพรรคการเมืองที่ตัวเองสังกัดอยู่ เรามาคอยดูกันต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยคงต้องตายกันยกแผง! ‘สมหมาย ภาษี’ ซัดตรงรัฐบาล ไม่เห็นทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เรื่องที่เป็นนโยบายจะทำโน่นทำนี่เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งการยกระดับคนจนระดับล่างให้ดีขึ้น ไม่เห็นรัฐบาลนี้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน