ให้ประกัน 'จักรภพ' คดีอั้งยี่-ครอบครองอาวุธสงคราม

28 มี.ค.2567 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามคุมตัวนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อสอบปากคำ ในคดีตามหมายจับของศาลอาญา ที่ลงวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2560 ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่ หลังพบความเชื่อมโยงกับอาวุธสงครามจำนวนมากซุกในบ่อน้ำพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งจากการตรวจสอบอาวุธที่ยึดได้พบมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์คดีทางการเมือง เมื่อปี 2557 เช่น ชิ้นส่วน หรือซีเรียลนัมเบอร์ของอาวุธ

หลังนำตัวมาถึงกองบังคับการปราบปราม ได้หลบเลี่ยงสื่อมวลชนโดยขับรถรถตู้ไปจอดที่บริเวณด้านหลัง ระหว่างอาคารกองบังคับการปราบปราม และอาคารจอดรถ ก่อนพาขึ้นลิฟต์อาคารจอดรถขึ้นไปชั้น 2 ซึ่งมีทางเชื่อมเข้าสู่อาคารกองบังคับการปราบปราม โดยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งหลังสอบปากคำแล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกันในชั้นสอบสวน โดยกำหนดหลักทรัพย์เป็นเงิน 200,000 บาทต่อคดี โดยไม่มีเงื่อนไข โดยจะต้องมารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนครั้งต่อไปในวันที่ 22 และ 23 เมษายนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หลังการประกันตัวนายจักรภพ ได้ลงมาทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตั้งอยู่บริเวณโถงชั้นล่างกองบังคับการปราบปราม พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองได้ออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2552 เป็นเวลา 15 ปี จึงตัดสินใจกลับมาสู้คดีที่ยังเหลืออีก 2 คดี และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ซึ่งขอชื่นชมที่พนักงานสอบสวนได้มีการอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งทำให้มั่นใจว่าจะสามารถสู้คดีได้อย่างมั่นใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

"เวลา 15 ปีที่ผ่านมา ตนเองคิดถึงเมืองไทยทุกวัน พ่อแม่ก็เสียชีวิตระหว่างที่ตนเองหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ที่ระหกระเหินลี้ภัยไปอยู่ 5 ประเทศ เป็นประเทศที่เข้าใจ แบะเห็นใจในการต่อสู้ของตนเอง แต่ก็อยู่อย่างมีมารยาทไม่ให้ประเทศนั้นอึดอัด หรือได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง แต่ก็ติดตามข่าวสารประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา ลำบากกายไม่เท่าไหร่แต่มีความลำบากใจมากกว่า เวลาผ่านไปทำให้ตนเองคิดอะไรได้เยอะ รู้สึกเสียดายเวลาที่จะรับใช้ประเทศชาติ จากนี้ไปจะตั้งใจว่าจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ รับใช้ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นบทบาทใดก็ตาม จะไม่มาสร้างความวุ่นวายอะไรอีก การทำการเมืองก็เป็นวิถีทางหนึ่งที่ตนเองสามรรถช่วยทำประโยชน์ได้ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปมาก

การเมืองภาพใหญ่ในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนรัฐบาล ทำให้เพิ่มความมั่นใจว่าบรรยากาศต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนกระแสข่าวที่มีการดีลกันจึงทำให้ได้กลับประเทศไทยนั้น ยอมรับว่ามีการพูดคุย แต่ไม่ได้เป็นการเจรจาเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง มีการพูดคุยว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหาจุดร่วมเพื่อทำอะไรให้ดีขึ้น"

นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าก่อนตัดสินใจกลับประเทศไทยมีการพูดคุยกับทักษิณ ชิณวัตร แต่ไม่ถึงขั้นปรึกษา ซึ่งนายทักษิณได้บอกกับตนเองว่า อะไรหลายหลายอย่างในประเทศไทย เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ตนเองอยากทำคือ เสนอตัวกลางช่วยเหลือบุคคลที่ลี้ภัยทางการเมือง โดยดูจากความยากง่ายของคดี ช่วยเหลือผู้ที่มีคดีง่ายก่อน ส่วนกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไปสำหรับตนเอง หลังจากนี้สิ่งแรกที่ทำก็คือ จะไปกราบร่างคุณแม่ที่ยังไม่ได้ฌาปนกิจ ซึ่งเก็บร่างไว้ที่ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน และ ไปกราบคุณพ่อที่ฌาปนกิจไปแล้วที่บ้านน้องสาว จากนั้นจะไปสักการะศาลหลักเมืองต่อ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดข้อเสนอ 'ครูทหารเรือ' เจรจาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาให้จบก่อน หากถึงทางตันต้องไปที่ศาลโลก

เปิดข้อเสนอ “ครูทหารเรือ” ให้เจรจาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาให้จบก่อน มองสูตรของกัมพูชาเจรจาขุมทรัพย์ก่อนทำได้ยาก ชี้2เรื่องละเอียดอ่อน-ซับซ้อน ปลายทางอาจจบที่ศาลโลก

ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป! สื่ออาวุโส ชี้อำนาจเด็ดขาดนำมาซึ่งการฉ้อฉลแบบเบ็ดเสร็จ

นายเทพชัย หย่อง สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าไม่ต้องอ้อมค้อม ไปต้องปิดบังอีกต่อไป ใครใหญ่ที่สุดตอน

ดร.เสรี เฉลยแล้ว 'ทักษิณ' ตะเพิดพรรคร่วม แล้วเพื่อไทยจะรวมกับใคร

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า วันก่อนเขาไล่พรรคร่วม แล้วคิดว่าเขาจะไปรวมกับใคร