5 ม.ค.2567 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “จดหมายปรีดี (ที่ไม่มีอยู่จริง)
อาวุธในจิตนาการที่ฝันจะใช้ล้มเจ้า” มีรายละเอียดหาดังนี้
จดหมายปรีดีมีที่มาจากคนที่ใช้ชื่อว่า ดิน บัวแดง โดยในสมัยที่เขาไปเรียนที่ฝรั่งเศส ได้ไปค้นเอกสารและไปเจอเอกสารที่ชื่อว่า Dossier de Pridi ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
แต่เมื่อเขาส่งเรื่องนี้ไปให้ สมศักดิ์ เจียม ศาสดาแห่งการสร้างคอนเทนต์บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกสาร Dossier de Pridi ก็ถูกอุปโลกน์ให้กลายเป็นจดหมายลับของปรีดี แล้วถูกต่อยอดสร้างพล็อตให้น่าตื่นเต้นเหมือนในหนังหรือนิยาย ว่าถูกเก็บำส้จนเพื่อรอวันเปิด จนฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมที่มีปัญญาน้อยนิดฝันว่า นี่จะเป็นอาวุธสำคัญในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ ๙
ถ้าจะขอพูดกันตรงๆ ว่า พวกล้มเจ้าสร้างพล็อตแต่เรื่องให้ร้ายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าฆ่าพี่ชิงบัลลังก์ ทั้งที่เราก็ทราบโดยทั่วกันว่าครอบครัวราชสกุลมหิดล ซึ่งมีกันแค่ ๔ พระองค์นั้นรักใคร่กลมเกลียว โดยเฉพาะในหลวงทั้ง ๒ พระองค์เป็นพี่น้องที่แนบแน่นกันมาก โดยมีพระราชกระแสรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยเสมอมาว่า
“อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น”
พล็อตเรื่องการการฆ่าแกงเพื่อชิงราชสมบัติระหว่างพี่น้องมีแต่ในหนังจีนและเหตุการณ์จริงสมัยอยุธยาเท่านั้น ซึ่งเป็นบริบทหรือวิถีชีวิตของคนโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เรื่องแบบนี้หมดไปพร้อมกับการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา
บริบทเรื่องการชิงราชสมบัติระหว่างพี่น้องหรืออาหลาน เกิดขึ้นจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายหรือกฎมณเฑียรบาลในเรื่องการสืบราชสมบัติในยุคสมัยโบราณ ที่ปกติเมื่อพี่ได้ครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็มักแต่ตั้งน้องเป็นอุปราช ซึ่งเป็นตำแหน่งรัชทายาท แต่เมื่อพระมหากษัตริย์มีพระราชโอรสแล้วก็มักต้องการให้พระราชโอรสได้สืบราชสมบัติต่อไป หรือเมื่อพระมหากษัตริย์แต่งตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วลูกๆ ที่เหลือบางพระองค์ไม่พอใจ ก็วางแผนฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์
แต่ปัญหานั้นหมดไปในยุครัตนโกสินทร์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ในยุคการครองราชย์ของพี่น้องรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ ก็ไม่มีเรื่องฆ่าแกง
สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็นำระบบสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแบบชาติตะวันตกมาใช้ ให้พระราชโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท
และสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่ได้ทรงตรากฎหมายเป็นกฎมณเฑียรบาลที่ระบุชั้นการสืบสันตติวงศ์เป็นระบบอย่างชัดเจน
ที่สำคัญ ราชสกุลมหิดล ซึ่งมีกันอยู่เพียง ๔ พระองค์นั้น ถูกอบรมสั่งสอนโดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระมารดาเลี้ยงเดี่ยวในวิถีแห่งการดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่แสวงหาอำนาจ
หากย้อนกลับไปในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ ๒๔๗๕ คนกลุ่มนี้วางแผนมาอย่างดี โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเปลี่ยนการปกครองไปจนถึงระบอบที่ไม่มีกษัตริย์หรืออย่างน้อยถ้ามีก็แค่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีบทบาทอะไรใดๆ ต่อการปกครอง
แต่ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านไปถึงจุดนั้น จะหักดิบเลยก็ไม่ได้ เพราะอาจจะมีการต่อต้านจากประชาชน เลยต้องเอาอำนาจมาในมือให้ได้ก่อน แล้ว ***“ค่อยๆ ลดทอนความสำคัญของราชวงศ์ลง จนคนส่วนใหญ่ของประเทศคล้อยตามกับระบอบที่คณะนี้ต้องการ”
ก่อนปฏิวัติ คณะราษฎรศึกษาเรื่องลำดับการสืบสันตติวงศ์มาเป็นอย่างดีแล้ว ว่าใครคือ กษัตริย์พระองค์ต่อไป เพราะถ้าในหลวงรัชกาลที่ ๗ ไม่ยอมเปลี่ยนและมีการต่อสู้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนรัชกาลตั้งแต่ปีนั้น
ซึ่งคณะนี้เชื่อว่าจะเป็นงานง่ายเพราะ อีก 2 พระองค์ยังทรงพระเยาว์ พระชนนีก็เป็นสามัญชน น่าจะคุมได้ไม่ยาก และยังมีเวลาริดรอนพระราชอำนาจได้อีกนาน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ มีเวลาเหลือเฟือจัดระบบที่เขาต้องการให้อยู่ในรูปในรอยได้อีกหลายปี เข้าทางอย่างที่สุด
เมษายน ๒๔๗๖ ณ เวลานั้นราชสกุลมหิดลทรงพำนักที่วังสระปทุมกับสมเด็จพระพันวัสสา ในขณะนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ไปโรงเรียนก็มีเพื่อนมาเรียกว่าองค์โป๊ย (ถือเป็นชื่อที่ใช้ล้อเลียน ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ของลูกหลานคณะราษฏร์) ยิ่งทำให้สมเด็จพระพันวัสสายิ่งเห็นอันตรายที่เข้าใกล้พระนัดดามากขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นสมเด็จพระพันวัสสาจึงรับสั่งให้สมเด็จย่า(สังวาลย์) พาพระโอรสและพระธิดาไปเรียนต่อที่โลซานน์ให้ห่างไกลการเมือง
๒ มีนาคม ๒๔๗๘ ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ประกาศสละราชสมบัติ และให้สภาหาผู้สืบสันตติวงศ์ต่อเอง ทุกอย่างเข้าทางตามแผนคณะราษฏร์ และคณะราษฎร์จึงส่งโทรเลขมาเชิญในหลวงรัชกาลที่ ๘ รับราชสมบัติ ตามที่คาดหมายไว้
แผนต่อของคณะราษฎร์ คือการให้ในหลวงรัชกาลที่ ๘ เสด็จนิวัติประเทศไทยโดยเร็ว เพื่อมาทำพระราชพิธีราชาภิเษกและให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบนี้ยังมีกษัตริย์อยู่ และคณะราษฎรไม่ได้ทำลายสถาบันฯ
โดยมีจดหมายที่สมเด็จย่าเขียนจดหมายถึงสมเด็จพระพันวัสสา เล่าถึงการโต้ตอบกับคณะราษฏรไว้ดังนี้
หม่อมฉันก็บอกให้เป็นที่เข้าใจอีกว่า ทั้งลูกและหม่อมฉันไม่มีความต้องการยศและลาภเลย แต่การที่นันทต้องรับเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ต่อบ้านเมือง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรต่อไปขอให้พูดกันดีๆ อย่าบังคับและตัดอิสรภาพจนเหลือเกิน
หม่อมฉันวิตกอยู่ก็ถึงเรื่องที่นันทจะไม่ได้มีความสุขอย่างเด็กมาก และกลัวการศึกษาจะได้ไม่เต็มที่ ที่หม่อมฉันไม่ใคร่กลัวอันตรายภายนอกก็เพราะว่าเราไม่ได้อยากจะเป็น แต่ต้องรับเพราะเห็นแก่บ้านเมืองที่อาจไม่สงบได้”
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าการย้ายมาสวิสเซอร์แลนด์มีประโยชน์ เพราะการที่รัฐบาลไม่มีกษัตริย์กลับไปให้ราษฎรเห็น ยิ่งสร้างความน่ากังขาให้กับราษฎรว่า การปกครองที่คณะราษฎรยึดมาจากเจ้านี้จะเป็นระบอบที่มีกษัตริย์อยู่ต่อจริงหรือ หลอก
อย่าลืมว่าเพิ่งจะผ่านการเปลี่ยนแปลง ๒ู๔๗๕ มายังไม่ทันครบ ๓ ปี คนที่ยังไม่พร้อมกับการไม่มีกษัตริย์นั้นมีอยู่มาก อีกทั้งสมเด็จย่าทรงพระปรีชามากในการต่อรองกับรัฐบาลคณะราษฎร์
ส่วนคณะราษฎร์ใช่ว่าจะราบรื่นมีการแย่งชิงอำนาจกันภายในคณะ มีการยึดอำนาจกันไปมา เริ่มมีอำนาจเป็น 2 ขั้วและขัดกันเองตลอด จนสุดท้ายใช้การสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๘ เพื่อทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง รวมไปถึงทำลายความน่าเชื่อถือของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จย่าด้วย
ซึ่งหากย้อนกลับไปในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์เมื่อ ๒๔๗๕ นั้น คณะราษฎรวางแผนมาอย่างดี เป้าหมายสูงสุดของคนกลุ่มนี้ คือต้องการเปลี่ยนการปกครองไปสู่การไม่มีกษัตริย์ หรืออย่างน้อยถ้ามีก็แค่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีบทบาทอะไรใดๆ ต่อการปกครอง นั่นคือเป้าหมายใหญ่ของเขา
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงมีการสร้างข่าวบั่นทอนทำร้ายในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยอาศัยการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๘ ซึ่งเป็นฝีมือการวางแผนฆาตกรรมของใครหรือฝ่ายใดคงเดาได้ไม่อยาก ว่าใครได้ผลประโยชน์จากการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ คนนั้นหรือฝ่ายนั้นย่อมคิดลงมือทำ
กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน กับกลุ่มคนที่ประกาศจะมาสานต่อภารกิจของคณะราษฎร ซึ่งภารกิจสำคัญของคณะราษฎรคือ การล้มเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ย่อมจะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ภารกิจบั่นทอนและให้ร้ายในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ก็เป็นแผนการต่อเนื่องของพวกเขา
การสร้างพล็อตเรื่องจดหมายปรีดี เป็นความหวังว่ามันจะเป็นอาวุธสำคัญในการหาหลักฐานปลอมมาใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบมาถึงในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ โดยอาศัยการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๘ ซึ่งเป็นฝีมือการวางแผนฆาตกรรมของใครหรือฝ่ายใดคงเดาได้ไม่ยาก
เป้าหมายใหญ่ที่สุดของคณะราษฎรในการก่อการ ว่ากันว่า คือ ความต้องการเปลี่ยนการปกครองไปสู่การไม่มีกษัตริย์ ซึ่งใครในยุคปัจจุบันประกาศจะมาสานต่อ
ชมคลิปได้ที่นี่:
จดหมายปรีดี (ที่ไม่มีอยู่จริง)
อาวุธในจิตนาการที่ฝันจะใช้ล้มเจ้า
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
จดหมายปรีดีมีที่มาจากคนที่ใช้ชื่อว่า ดิน บัวแดง โดยในสมัยที่เขาไปเรียนที่ฝรั่งเศส ได้ไปค้นเอกสารและไปเจอเอกสารที่ชื่อว่า Dossier de Pridi ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
แต่เมื่อเขาส่งเรื่องนี้ไปให้ สมศักดิ์ เจียม ศาสดาแห่งการสร้างคอนเทนต์บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกสาร Dossier de Pridi ก็ถูกอุปโลกน์ให้กลายเป็นจดหมายลับของปรีดี แล้วถูกต่อยอดสร้างพล็อตให้น่าตื่นเต้นเหมือนในหนังหรือนิยาย ว่าถูกเก็บำส้จนเพื่อรอวันเปิด จนฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมที่มีปัญญาน้อยนิดฝันว่า นี่จะเป็นอาวุธสำคัญในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ ๙
ถ้าจะขอพูดกันตรงๆ ว่า พวกล้มเจ้าสร้างพล็อตแต่เรื่องให้ร้ายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าฆ่าพี่ชิงบัลลังก์ ทั้งที่เราก็ทราบโดยทั่วกันว่าครอบครัวราชสกุลมหิดล ซึ่งมีกันแค่ ๔ พระองค์นั้นรักใคร่กลมเกลียว โดยเฉพาะในหลวงทั้ง ๒ พระองค์เป็นพี่น้องที่แนบแน่นกันมาก โดยมีพระราชกระแสรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยเสมอมาว่า
“อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น”
พล็อตเรื่องการการฆ่าแกงเพื่อชิงราชสมบัติระหว่างพี่น้องมีแต่ในหนังจีนและเหตุการณ์จริงสมัยอยุธยาเท่านั้น ซึ่งเป็นบริบทหรือวิถีชีวิตของคนโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เรื่องแบบนี้หมดไปพร้อมกับการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา
บริบทเรื่องการชิงราชสมบัติระหว่างพี่น้องหรืออาหลาน เกิดขึ้นจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายหรือกฎมณเฑียรบาลในเรื่องการสืบราชสมบัติในยุคสมัยโบราณ ที่ปกติเมื่อพี่ได้ครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็มักแต่ตั้งน้องเป็นอุปราช ซึ่งเป็นตำแหน่งรัชทายาท แต่เมื่อพระมหากษัตริย์มีพระราชโอรสแล้วก็มักต้องการให้พระราชโอรสได้สืบราชสมบัติต่อไป หรือเมื่อพระมหากษัตริย์แต่งตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วลูกๆ ที่เหลือบางพระองค์ไม่พอใจ ก็วางแผนฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์
แต่ปัญหานั้นหมดไปในยุครัตนโกสินทร์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ในยุคการครองราชย์ของพี่น้องรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ ก็ไม่มีเรื่องฆ่าแกง
สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็นำระบบสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแบบชาติตะวันตกมาใช้ ให้พระราชโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท
และสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่ได้ทรงตรากฎหมายเป็นกฎมณเฑียรบาลที่ระบุชั้นการสืบสันตติวงศ์เป็นระบบอย่างชัดเจน
ที่สำคัญ ราชสกุลมหิดล ซึ่งมีกันอยู่เพียง ๔ พระองค์นั้น ถูกอบรมสั่งสอนโดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระมารดาเลี้ยงเดี่ยวในวิถีแห่งการดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่แสวงหาอำนาจ
หากย้อนกลับไปในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ ๒๔๗๕ คนกลุ่มนี้วางแผนมาอย่างดี โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเปลี่ยนการปกครองไปจนถึงระบอบที่ไม่มีกษัตริย์หรืออย่างน้อยถ้ามีก็แค่เป็นสัญลักษณ์ ไม่มีบทบาทอะไรใดๆ ต่อการปกครอง
แต่ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านไปถึงจุดนั้น จะหักดิบเลยก็ไม่ได้ เพราะอาจจะมีการต่อต้านจากประชาชน เลยต้องเอาอำนาจมาในมือให้ได้ก่อน แล้ว ***“ค่อยๆ ลดทอนความสำคัญของราชวงศ์ลง จนคนส่วนใหญ่ของประเทศคล้อยตามกับระบอบที่คณะนี้ต้องการ”
ก่อนปฏิวัติ คณะราษฎรศึกษาเรื่องลำดับการสืบสันตติวงศ์มาเป็นอย่างดีแล้ว ว่าใครคือ กษัตริย์พระองค์ต่อไป เพราะถ้าในหลวงรัชกาลที่ ๗ ไม่ยอมเปลี่ยนและมีการต่อสู้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนรัชกาลตั้งแต่ปีนั้น
ซึ่งคณะนี้เชื่อว่าจะเป็นงานง่ายเพราะ อีก 2 พระองค์ยังทรงพระเยาว์ พระชนนีก็เป็นสามัญชน น่าจะคุมได้ไม่ยาก และยังมีเวลาริดรอนพระราชอำนาจได้อีกนาน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ มีเวลาเหลือเฟือจัดระบบที่เขาต้องการให้อยู่ในรูปในรอยได้อีกหลายปี เข้าทางอย่างที่สุด
เมษายน ๒๔๗๖ ณ เวลานั้นราชสกุลมหิดลทรงพำนักที่วังสระปทุมกับสมเด็จพระพันวัสสา ในขณะนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ไปโรงเรียนก็มีเพื่อนมาเรียกว่าองค์โป๊ย (ถือเป็นชื่อที่ใช้ล้อเลียน ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ของลูกหลานคณะราษฏร์) ยิ่งทำให้สมเด็จพระพันวัสสายิ่งเห็นอันตรายที่เข้าใกล้พระนัดดามากขึ้นเป็นลำ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'แก้วสรร' แพร่บทความ 'นิติสงคราม' คืออะไร?
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกบทความเรื่อง “นิติสงคราม” คืออะไร???
'อัษฎางค์' ชี้ระบอบทักษิณค่อยๆจุดไฟเผาตัวเอง
อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ระบุข้อความสั้นๆว่า ทษ.-รพ.ตร.-เอาลูกสาวมาเป็นนา
'เอ็ดดี้' ชำแหละ ขบวนการล้มเจ้าในออสเตรเลีย
อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ เรื่อง”ขบวนการล้มเจ้าในออสเตรเลีย“
'อัษฎางค์' ข้องใจ ม.นเรศวร จ้างฝรั่งมาบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออย่างไร?
อัษฎางค์ ยมนาค โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ระบุข้อความว่า มหาวิทยาลัยนเรศวรจ้างฝรั่งมาบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออย่างไ
สงสัย 'อเมริกา' คือจุดเริ่มต้นการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาเดือนตุลาถึงขบวนการสามกีบหรือไม่?
อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า สหรัฐอเมริกา(ผู้รักษาสันติภาพ ที่ทำลายสันติภาพ) คือจุดเริ่มต้นการชุมนุม
‘อัษฎางค์’ ถาม ทำไมพรรคเพื่อไทย ใช้เด็กฝึกงานมาเป็นผู้นำประเทศ
การใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น iPad ในการเจรจาทางการทูต ไม่ได้แสดงถึงความทันสมัยและการเปิดรับเทคโนโลยี แต่เป็นภาพลักษณ์ที่อาจถูกตีความในเชิงลบ