'หริรักษ์' ชี้ทาง เพื่อไทยชนะแลนด์สไลด์สมัยหน้า หาไม่แล้วคงได้เปลี่ยนคำขวัญ 'คิดไม่หมด ทำไม่เป็น'

ยังไม่สายที่รัฐบาลคุณเศรษฐาจะรีบจัดทำแผนดังกล่าวหลังจากแะลงต่อสภาแล้ว และหากทำได้สำเร็จ ประชาชนจะอภัยให้หากรัฐบาลจะไม่ทำบางอย่างที่หาเสียงไว้ เช่น ค่าแรงขั่นต่ำ 600 บาท ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือแม้แต่ digital wallet คนละ 10,000 บาท ที่ทำท่าจะมีอุปสรรคมากมาย น่าจะเป็นเพราะไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดลงตัวก่อนหาเสียง เพื่อจะได้ไม่มีใครเปลี่ยนคำขวัญของพรรคเพื่อไทยจาก “คิดใหม่ ทำเป็น” มาเป็น” คิดไม่หมด ทำไม่เป็น ” การเลือกตั้งครั้งหน้าก็อาจจะชนะแบบ landslide ก็ได้ ใครจะไปรู้

13 ก.ย.2566-รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่าได้ฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภามาหลายรัฐบาล ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลไหนให้ความสำคัญต่อการแถลงนโยบายมากเท่าที่ควรจะให้แม้แต่รัฐบาลเดียว นั่นอาจเป็นเพราะว่าผู้นำรัฐบาลเห็นว่าจะแถลงอย่างไรก็ไม่ทำให้รัฐบาลล้มลงไปได้เหมือนกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ทุกรัฐบาลจึงแถลงพอเป็นพิธี ขอเพียงไม่น่าเกลียดเกินไปก็พอ

การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ความจริงมีความสำคัญมากต่อรัฐบาลแม้จะไม่มีการลงมติว่าจะให้ผ่านหรือไม่ เพราะเป็นการสร้างความประทับใจครั้งแรก (first impression) ซึ่งมีความสำคัญต่อการได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน จากสื่อมวลชน จากสมาชิกรัฐสภา และแม้กระทั่งจากฝ่ายค้าน และจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของคนทั้งประเทศอย่างยิ่ง อันจะเป็นผลให้การบริหารประเทศของรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะจากบรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆมากขึ้น

การแถลงนโยบายรัฐบาลของคุณเศรษฐา ทวีสิน ดังที่คุณศิริกัญญา ตันสกุล แห่งพรรคก้าวไกลอภิปรายเป็นคนแรกว่า การแถลงนโยบายปราศจากเป้าหมาย ปราศจากตัวชี้วัด ไม่มีกรอบเวลา ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลทำได้สำเร็จหรือไม่ ตามกำหนดเวลาหรือไม่ ต้องยอมรับว่าคุณศิริกัญญา อภิปรายได้ดี หากลดหรือตัดคำพูด และกิริยาท่าทางที่ออกไปในทางดูแคลนและเย้ยหยันออกไปก็จะดีมาก แปลกที่ความจริงคุณจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ก็ออกจะใช้สำนวนโวหารแบบเสียดสีพอกัน เช่น เริ่มต้นว่า นโยบายรัฐบาลครั้งนี้สวนทางกับส่วนสูงของท่านนายกรัฐมนตรี หรือเรียกว่าเป็นนโยบายนินจาเพราะที่หาเสียงไว้หลายประการกลับล่องหนหายไป แต่กลับไม่รู้สึกขัดหูขัดตาเท่ากับกรณีคุณศิริกัญญา แต่ก็นั่นแหละอาจเป็นเพราะลีลาท่าทางอาจต้องเป็นแบบนี้จึงจะถูกใจคนรุ่นใหม่ก็ได้

เพื่อให้การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภา มีความหมายมากขึ้น มีความสำคัญมากขึ้นจึงอยากเสนอว่า แทนที่จะเขียนนโยบายว่าจะทำอะไร หรือให้อะไรประชาชนบ้างเท่านั้น ให้เขียนเป็นรูปแบบของแผนการบริหารประเทศ ซึ่งถูกบังคับโดยรัฐธรรมนูญอยู่แล้วว่าจะต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนั้นจึงต้องใช้วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่า

” ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือเป็นคำขวัญว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

วิศัยทัศน์ในบริบทของการทำแผนคือ ภาพที่ต้องการจะเห็นในอนาคต ซึ่งก็ทำหน้าที่เป็นเป้าหมายกว้างๆ ดังนั้นแผนบริหารประเทศควรใช้วิสัยทัศน์นี้เป็นเป้าหมายสูงสุด และควรเป็นแผนระยะ 4 ปี เท่าอายุรัฐบาล และควรต้องกำหนดเป้าหมายย่อยๆว่า หากจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จะต้องมีปัจจัยอะไรที่จะต้องดีขึ้นบ้าง อาทิ จีดีพีต้องโตปีละเท่าใด อัตราว่างงานควรต้องเป็นเท่าใด หนี้ครัวเรือนควรลดลงเหลือเท่าใด คดีอาชญากรรมต้องลดลงเป็นเท่าใดเมื่อสิ้นสุดแผน และอีกหลายๆเป้าหมาย

เป้าหมายเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดว่ารัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้สำเร็จตามแผนหรือไม่ จากนั้นจะต้องมียุทธศาสตร์ว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายได้ จะต้อง focus ที่ไหน เช่น พัฒนาการเกษตรกรรมแบบก้าวหน้า พัฒนาการการท่องเที่ยว ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น ที่ต้องมี focus ก็เพราะด้วยทรัพยากรที่จำกัด และเวลา 4 ปี รัฐบาลไม่สามารถทำทุกอย่างได้ทั้งหมดพร้อมๆกัน

หลังจากการมี focus แล้ว ก็จะถึงกิจกรรมต่างๆ นั่นคือรัฐบาลต้องทำอะไรบ้างกับสิ่งที่ได้ focus ไว้ เพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆข้างต้น หากทำเช่นนี้ได้ เมื่อเวลาผ่านไป จะสามารถบอกได้ชัดเจนว่ารัฐบาลบริหารประเทศได้สำเร็จมากน้อยเพียงใดเนื่องจากมีตัวชี้วัดแล้ว ประชาชนก็จะได้ทราบอย่างชัดเจน ไม่ต้องใช้ความรู้สึก แต่สามารถดูจากตัวเลขที่ปราศจากความมีอคติของบุคคล

อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ในแผนก็คือ ” ค่านิยม หรือ Value ” ที่ต้องเขียนไว้ โดยแยกเป็นอีกหมวดของแผนและควรอยู่หมวดแรกๆของแผนถัดจากวิสัยทัศน์ เพื่อเป็นกรอบให้ทุกคนในรัฐบาลทุกคนยึดมั่นยึดถือ ไม่ทำอะไรที่ขัดต่อค่านิยมอย่างเด็ดขาด เช่น

รัฐบาลยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป

รัฐบาลยึดมั่นในความโปร่งใส ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น

รัฐบาลจะยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน

ฯลฯ

ยังไม่สายที่รัฐบาลคุณเศรษฐาจะรีบจัดทำแผนดังกล่าวหลังจากแะลงต่อสภาแล้ว และหากทำได้สำเร็จ ประชาชนจะอภัยให้หากรัฐบาลจะไม่ทำบางอย่างที่หาเสียงไว้ เช่น ค่าแรงขั่นต่ำ 600 บาท ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือแม้แต่ digital wallet คนละ 10,000 บาท ที่ทำท่าจะมีอุปสรรคมากมาย น่าจะเป็นเพราะไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดลงตัวก่อนหาเสียง เพื่อจะได้ไม่มีใครเปลี่ยนคำขวัญของพรรคเพื่อไทยจาก

“คิดใหม่ ทำเป็น” มาเป็น

” คิดไม่หมด ทำไม่เป็น “

การเลือกตั้งครั้งหน้าก็อาจจะชนะแบบ landslide ก็ได้ ใครจะไปรู้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นักวิชาการ' วิเคราะห์ผลการเลือกสว.จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ มากกว่าเป็นผลเสีย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

‘ภูมิธรรม’ รีบออกตัว ‘ชาญ’ ชนะ เหตุ พท.ปรับการทำงาน ไม่เกี่ยวมนต์ขลังทักษิณ

‘ภูมิธรรม’ ชี้ ‘ชาญ’ ชนะนายกอบจ.ปทุมธานี เหตุ พท.ปรับกระบวนการทำงาน แต่ขออย่าหลงระเริง บอกไม่เกี่ยวมนต์ขลัง ‘ทักษิณ’ แซะ ‘นิด้าโพล’ ให้คะแนนนิยมก้าวไกลนำ เหมือนฟันธงให้ ‘บิ๊กแจ๊ส’ เข้าวิน ลั่น ถ้าทำตามโพล ประเทศล่มสลายแน่

‘อุ๊งอิ๊ง’ แสดงความยินดี ‘ลุงชาญใจดี’ ได้เป็น นายก อบจ.ปทุมธานี

อิ๊งค์และพรรคเพื่อไทยยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกัน และเชื่อว่าชาวปทุมจะได้รับการดูแลจากคนที่ตั้งใจทำงานจริง

‘ชาญ’ ขอบคุณ ‘ทักษิณ-พท.’ สนับสนุน บอกชาวปทุมฯ จากนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลง

การเมืองต้องมีแพ้มีชนะ 4 ปีจากนี้ไปพี่น้องชาวจังหวัดปทุมธานีต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงและการศึกษาของลูกหลานชาวจังหวัดปทุมธานีต้องมาเป็นอันดับแรก