'อัษฎางค์' แปลกใจมีคนไทยส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดีและยังยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับสนับสนุนกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายที่บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ 'รักเจ้าและสนับสนุนคนล้มเจ้า'
31พ.ค.2566- นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเพซบุ๊ก เรื่อง “รักเจ้า แต่สนับสนุนคนล้มเจ้า” มีเนื้อดังนี้
คนสามนิ้วมักเรียก “กษัตริย์” โดยเลี่ยงการเรียกว่า “พระมหากษัตริย์” เพื่อด้อยค่า เพราะเข้าใจว่า คำว่า พระมหากษัตริย์ นั้นเป็นการกดขี่ประชาชน ทั้งที่ความจริง คำว่า พระมหากษัตริย์ เป็นการแสดงความยิ่งใหญ่เหนือกว่า”กษัตริย์” อื่นๆ ทั่วไป กล่าวคือ เป็นการยกย่องว่า “พระมหากษัตริย์ของไทย”ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์อื่น เป็น King of king โดยไม่ได้เป็นการเปรียบเทียบ พระมหากษัตริย์ กับ ประชาชน แต่อย่างใด
เหมือนคำเรียก “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” ที่คนสามกีบหลอกกันว่า เป็นคำที่กดขี่ กดหัวประชาชนว่า เป็นฝุ่นใต้ตีน ทั้งที่ความจริงคำว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” หมายถึงพระมหากษัตริย์ หรือเป็นคำสรรพนามบุรุษที่ 3 ที่ใช้เรียกพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่คำที่ใช้เรียกประชาชน ประชาชนเรียกตัวเองว่า “ข้าพระพุทธเจ้า” อันหมายถึง การปวารณาตนว่า ขอเป็นข้าของพระพุทธเจ้า เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ
เหมือนคำว่า”ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ที่หลอกกันเองว่าเป็นทรัพย์สินที่พระมหากษัตริย์ขูดรีดไปจากประชาชน โดยเอา”ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ไปประเมินว่า พระมหากษัตริย์ไทยร่ำรวยที่สุดในโลก” ทั้งที่คำว่า”ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” คือทรัพย์สินของแผ่นดิน ซึ่งต่างจาก”ทรัพย์สินส่วนพระองค์” อันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
เหมือนคำว่า”ภายใต้พระปรมาภิไธย” ที่ข้าราชการ ตุลาการ ทหาร ตำรวจ บริหารราชการภายใต้พระปรมาภิไธย ก็หลอกกันเองว่า พระมหากษัตริย์มีอำนาจชี้นิ้วสั่งการให้ทำอย่างนู้นอย่างนี้ ทั้งที่พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจดังกล่าวเหล่านั้นเลย อำนาจการบริหารราชการอยู่ในมือนักการเมืองและข้าราชการทั้งสิ้น แต่คำว่า ”ภายใต้พระปรมาภิไธย” จะทำข้าราชการหรือนักการเมือง พึ่งสำนึกว่า ตนเองทำราชการในนามของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นต้องรักษาพระเกียรติ โดยการทำงานราชการโดยความซื่อสัตย์ สุจริต
เมืองไทยแตก หรือเสียกรุงทั้ง 2 ครั้งในสมัยอยุธยาไม่ใช่เราคนไทยไร้ความสามารถ หรือรบสู้ชาติอื่นไม่ได้ แต่เราเสียกรุงเพราะเราแตกความสามัคคี
ความจริงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เราก็เกือบเสียงกรุงครั้งที่ 3 แต่สาเหตุที่เรารอดมาได้ก็เพราะเราไม่แตกสามัคคี
แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนว่า คนไทยกำลังแตกสามัคคี ด้วยฝีมือคนไทยขายชาติและขายวิญญาณในชาติมหาอำนาจ สร้างแตกแยก สร้างความบั่นทอน ร้าวฉานในหมู่คนไทย เพื่ออำนาจทางการเมืองส่วนตน ตอนนี้สังคมเปราะบางถึงขนาดที่พร้อมที่จะเสียกรุงในทุกวินาที
สังเกตมั้ยว่า พรรคการเมืองและเครือข่ายที่เอื้อต่อกัน ทั้งอาจารย์นักวิชาการ ม็อบ และเครือข่ายจากนอกประเทศเช่น NGO และประเทศมหาอำนาจ อ้างเรื่องประชาธิปไตยและการปฏิรูปประเทศ แต่พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก ด้วยการสร้างเรื่องราวต่างๆ ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือปัญหา เช่น ม.112 มีปัญหา ทั้งที่เป็นเพียงกฎหมายปกป้องประมุขของชาติที่ทุกชาติก็มี หรือเรื่องทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ว่าขูดรีดมาจากประชาชน ทั้งที่เป็นสมบัติของแผ่นดิน
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งว่า มีคนไทยส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดีและยังยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับสนับสนุนกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายที่บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า “รักเจ้าและสนับสนุนคนล้มเจ้า”
ทำไมมองไม่ออก คิดไม่ได้ว่า ม.112 ไม่ได้มีปัญหาอะไร และไม่เคยมีปัญหามาก่อน เพิ่งจะกลายเป็นกฎหมายที่มีปัญหาขึ้นมาในยุคนี้ ยุคที่มีคนไปดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ แต่อ้างว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ ทั้งที่ศาลก็วินิจฉัยแล้วว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงการล้มล้างการปกครอง
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังหลงกลคล้อยตามพวกเขาว่า พวกเขาหวังดีต่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์
เลือกคนที่มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์คืออะไร!
เหมือนการเลือกลูกเขยลูกสะใภ้ที่เครียดแค้นพ่อแม่พี่น้องคนในครอบครัว เข้ามาเป็นคนในครอบครัว เหมือนฝูงเก้ง กวาง วัว ควาย ที่เปิดประตูรับเสือที่หาเสียงว่าจะเข้ามาดูแลความปลอดภัยในตน ทั้งทีเป็นการเปิดประตูให้เสือเข้ามากัดกินพวกตน
10 พฤศจิกายน 2564 ศาลรัฐธรรมนูญขึ้นบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยว่า
การเสนอให้มีการยกเลิก ม.112 อันเป็นกฎหมายที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิด หมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชนุภาพของพระมหากษัตริย์ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะ อันนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคายและยังจะละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอื่นที่เห็นต่างได้ด้วย
การกระทำใดๆ ที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะโดยวิธีการพูด การเขียน หรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่าหรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์
ทั้งพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทำให้เห็นถึงมูลเหตุจูงใจในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ ที่มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิใช่เป็นการปฏิรูป
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยหลงผิดหรือสับสน โดยยังคงสนับสนุนให้ยกเลิกหรือแก้ไข ม.112 หรือสนับสนุนกลุ่มคนหรือพรรคที่สนับสนุนให้ยกเลิกหรือแก้ไข ม.112 ซึ่งหมายถึงท่านกำลังกระทำในสิ่งที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่า เป็นการล้มเจ้า อันหมายถึงการล้มล้างการปกครอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'บิ๊กพรรคส้ม' ยันเดินหน้าแก้ม.112 แจงเหตุไม่ร่วมงาน 'วันนวมินทราธิราช' เพราะไม่มีการประสานมา
ที่รัฐสภา นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืน ม.112 หลังจากนี้ว่า นโยบายเกื
‘อัษฎางค์’ ถาม ทำไมพรรคเพื่อไทย ใช้เด็กฝึกงานมาเป็นผู้นำประเทศ
การใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น iPad ในการเจรจาทางการทูต ไม่ได้แสดงถึงความทันสมัยและการเปิดรับเทคโนโลยี แต่เป็นภาพลักษณ์ที่อาจถูกตีความในเชิงลบ
ปปช.ทยอยเรียก 44 สส.อดีตก้าวไกล แจงปมลงชื่อแก้ ม. 112 แล้ว
รองเลขาฯ ป.ป.ช. เผย ทยอยเรียก 44 สส.ก้าวไกล แจงปมลงชื่อแก้ ม. 112 แล้ว ระบุ เร่งดำเนินการ ไม่ต้องรอตามกรอบ 2 ปี
‘นิพิฏฐ์’ ซัดนักการเมือง ทำอะไรอย่าอ้างชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เพราะสิ่งที่ทำมันตรงกันข้าม
นิพิฏฐ์ซัดนักการเมืองทำอะไรแล้ว ไม่อ้างชาติ,ศาสนา,พระมหากษัตริย์
ดร.อาทิตย์ ชี้การกระทำเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ย่อมมุ่งหมายล้มเลิกการปกครองไทย
การกระทำการอันใดที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมมุ่งหมายล้มเลิกการปกครองของชาติไทยและการดำรงค์คงอยู่ของชาติไทย
'อ.หริรักษ์' ชำแหละ ความเห็น 'อ.สุรพล' แก้ตัวให้ 'ก้าวไกล' ข้องใจจะเปลี่ยนประเทศแบบไหน
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า