'ดร.พิชาย' ฟันธง! คนไทยต้องการเปลี่ยนรัฐบาล ชี้ 3 สูตรหลังเลือกตั้ง แนะ พท. จับมือ ปชป.


'ดร.พิชาย' ฟันธง! คนไทยต้องการเปลี่ยนรัฐบาล ชี้ 3 สูตรหลังเลือกตั้ง แนะ พท.จับมือ ปชป. ดีกว่า พปชร. เตือนหากมีการยุบพรรรคจะสั่นคลอนปชต. 'เมธา' ยันรัฐบาลใหม่ต้องแก้ปัญหาการผูกขาดเศรษฐกิจของกลุ่มทุนและสร้างความยุติธรรม 'ประธานญาติวีรชนฯ" หวัง การเลือกตั้งสร้างอนาคตที่ดีในคนรุ่นใหม่

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 เวลา 11.00 -12.30 น. สภาที่ 3 ร่วมกับ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 จัดเวทีสภาที่ 3 Speak วาระประเทศไทย เรื่อง "อนาคตประเทศไทย หลังการเลือกตั้ง #66" ถ่ายทอดสดทาง Facebook Live "สภาที่สาม - The Third Council Speaks" ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ (รศ.) ดร. พิชาย รัตนดิลก ณภูเก็ต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 และ ดร.กุลชยา เต็มชวาลา​ จากกลุ่มแรงคิด

โดยนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 กล่าวเปิดเวทีว่า แม้ประเทศจะมีนโยบายทางการเมืองที่ดี แต่หากคนในสังคมทะเลาะกันก็ไม่สามารถพัฒนาอะไรได้ ญาติวีรชนต่างหวังว่าบ้านเมืองควรสงบหลังญาติวีรชนอโหสิกรรมให้ผู้มีอำนาจหลังเหตุการณ์พฤษภา'35 แต่แม้ไม่มีรัฐประหารเกือบ 17 ปีแต่ก็มีรัฐประหารและปัญหาขัดแย้งทางการเมืองอีก จึงหวังว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงหลังประเทศไทยห่างจากการเลือกตั้งมา 9 ปี จะเป็นการเรียกร้องสังคมในอนาคตดีทีให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะดูแลบริหารประเทศต่อไป ซึ่งคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นตามวันเวลา และกาลเวลาจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นคนรุ่นใหม่จะชนะวันยันค่ำ เมื่อกาลเวลาชนะเเน่นอน คนรุ่นใหม่ย่อมบอกได้ว่าอยากเห็นอะไรในอนาคต

"บ้านเมืองจะเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้ ถ้าไม่มีความสงบ จึงต้องสร้างหลักประกันไว้ให้คนรุ่นใหม่ให้มีความมั่นคงในชีวิตเพื่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ความมั่นคงทางทหารที่ผู้มีอำนาจมักแอบอ้างและผูกขาดอย่างเข้าใจผิดมาตลอด"นายอดุลย์ กล่าว

รศ.ดร. พิชาย กล่าวถึงภาพรวมจากการสำรวจของนิด้าโพล พบว่าคน 70% ของประเทศต้องการเปลี่ยนแปลง ดูจากคะแนนนิยมของฝ่ายค้านและความต้องการเปลี่ยนรัฐบาลอย่างชัดเจน เริ่มเห็นทิศทางตั้งแต่ปี 2565 ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้รับความนิยมจากประชาชนเกิน 50% และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเกิน 70 % ซึ่งเป็นอารมณ์ของประชาชนที่ส่งผลต่อผลการเลือกตั้งได้ระดับหนึ่ง แม้ไม่ได้ชี้ขาด เพราะกติกาและระบบอุปถัมภ์ของไทยจึงอนุมานอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างเข้ามา คือ การเลือกตั้งระดับเขต ที่นอกจากความนิยมพรรคและนโยบายแล้ว ยังมีการใช้เงินทุน เครือข่ายและระบบหัวคะแนน จึงทำให้เจตจำนงของประชาชนที่สะท้อนอย่างอิสระในโพลล์เปลี่ยนแปลงได้บ้าง

"กระแสความต้องการอยากเปลี่ยนประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกระแสสูงขึ้นมากช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง จึงคิดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน 5 พรรค อาจได้เสียง 300-320 ที่นั่ง เฉพาะพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล รวมกันอาจได้ถึง 300 ที่นั่ง ถ้ายึดตามเจตนารมณ์ของประชาชนและเดินตามครรลองประชาธิปไตย ก็จะเห็นรัฐบาลใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีพักเก้าไกลและพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบันอื่นๆเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ซึ่งประเทศไทยเคยมีครรลองนี้มาระยะหนึ่งแต่ถูกทำลายไปแล้ว ในปัจจุบันจึงเกิดได้ยาก เพราะมีโครงสร้างอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำที่เขียนรัฐธรรมนูญให้มี ส.ว.แต่งตัั้งมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น การเลือกนายกฯจึงอาจมีปัญหา เพราะต้องใช้ถึง 376 เสียงในรัฐสภา คือรวม ส.ว.ด้วย จึงทำให้แม้พรรคฝ่ายค้านปัจจุบันได้เสียงข้างมากเกิน 300 เสียง แต่ก็ไม่เพียงพอพี่จะจัดตั้งรัฐบาลได้"

รศ.ดร.พิชาย นำเสนอแนวโน้มที่จะเป็นทางออกจากปัญหาการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 3 แนวทางคือ สูตรที่ 1 พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและอาจต้องชวนพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยเพื่อร่วมโหวตเลือกนายกฯ แต่สูตรนี้ไม่ง่ายเพราะต้องมีการยื่นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล ขณะที่บางพรรคมีจุดยืนที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายร่วมกันได้ ยางพรรคภูมิใจไทยต้องมีเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลคือให้สนับสนุนนโยบายเกี่ยวกับกัญชา แต่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลรวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนนโยบายนี้ จึงเป็นไปได้ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบันจะชวนเพียงพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อรวมเสียงให้เกิน 376 เสียง ทำให้เลือกนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งจะเป็นตามวิถีทางประชาธิปไตยที่ให้ ส.ส.กำหนดผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีและปัจจุบันอาจมี ส.ว.บางส่วนสนับสนุนอยู่บ้างด้วย

สูตรแรกนี้จะทำให้ได้รัฐบาลเสียงข้างมากตามการรองประชาธิปไตย แต่ฝ่ายค้านอ่อนแอ ซึ่งจะมีเพียงพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเคยเป็นรัฐบาลไม่เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทั้งยังเป็นการเปลี่ยนทิศทางการเมืองแบบ 360 องศา จากจารีตนิยมสุดขั้วเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยในเชิงสังคมมากขึ้น กลุ่มจารีตอาจคับข้องใจ อาจมีการชุมนุม แต่เชื่อว่าไม่สามารถสั่นคลอนรัฐบาลได้ ทั้งในกลุ่มอนุรักษ์นิยมจารีตก็ไม่มีความชอบธรรมในการดำเนินการ สำหรับการรัฐประหารนั้นจะเกิดขึ้นได้ยากในเงื่อนไขปัจจุบันและอนาคต อย่างไรก็ตามอยู่ที่รัฐบาลตามสูตรนี้ที่ต้องบริหารประเทศอย่างระมัดระวังไม่ให้มีข้อครหาหรือการทุจริตที่จะเกิดเป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร

สูตรที่ 2 พรรคเพื่อไทยต้องประนีประนอมกับขั้วอำนาจเก่าคือจับมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจากการคาดการณ์ ถ้าเพื่อไทยได้ 240 เสียงพลังประชารัฐได้อีก 40 เสียง รวมเป็น 280 เสียง เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และยังบวกกับเสียงของ ส.ว. ในรัฐสภาที่จะมาสนับสนุนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคประชารัฐอีกประมาณ 100 รวมเป็น 380 เสียง เกินครึ่งรัฐสภา และเพื่อความปลอดภัยอาจดึงพรรคขนาดเล็ก ให้เฉพาะเสียง ส.ส. ได้ถึง 300 เสียง ก็เป็นจำนวนที่ทุกรัฐบาลต้องการ ถือเป็นการกันเหนียวทางการเมืองไว้อีกด้วย

ปมปัญหาของสูตรที่ 2 นั้น รศ.ดร.พิชาย ระบุว่า แนวโน้มสูตรที่ 2 นี้จะมีปมปัญหาคือ มวลชนจะไม่พอใจพรรคเพื่อไทย ที่ผิดสัจจะวาจาที่ไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ , ปมปัญหาที่ 2 ในสูตรนี้คือใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเยอะก็ไม่สามารถยกตำแหน่งนายกฯให้พรรคการเมืองอื่นได้ ขณะที่พลเอกประวิตร ก็ใช้ฐานของ ส.ว.มาต่อรอง อย่างไรก็ตามมองว่า พลังของพรรคพลังประชารัฐและคะแนนเสียงจะน้อยกว่าพรรคเพื่อไทยและหาก พปชร.อยากร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจโยนเงื่อนไขให้พลเอกประวิตร ต้องไม่รับตำแหน่งใดๆทางการเมือง เพื่อตัดความเกี่ยวโยงกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารตามที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้

"สูตรที่ 2 นี้ จะรับมือฝ่ายค้านที่ทรงพลัง คือ พรรคก้าวไกล และยังมีพรรคประชาธิปัตย์ด้วย สูตรนี่จึงมีอีกแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทยจะดึงพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลด้วย แต่สำหรับก้าวไกลจะไม่ร่วมรัฐบาลแน่นอน และหากเป็นไปตามสูตรนี้การบริหารประเทศที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องหรือดีขึ้นบ้าง แต่ในด้านอื่นๆจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง บ้างแต่ด้านอื่นไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารหรือนิรโทษกรรมทางการเมือง ที่พรรคเพื่อไทยเคยสนับสนุนอาจจะไม่ได้ดำเนินการ เพราะเหลือเพียงพรรคก้าวไกลที่มีนโยบายและผลักดัน แต่ก็อยู่ในสถานะฝ่ายค้าน"

สูตรที่ 3 รศ.ดร.พิชาย เปิดประเด็นว่า มีแนวโน้มที่จะเกิดอันตรายต่อสังคมไทยหากดำเนินการตามสูตรนี้แต่มีข่าวการเตรียมการโดยที่ปรึกษาของ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" ที่ดึงดันจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้ได้ โดยการรวม 4 พรรครัฐบาลในปัจจุบันจะได้ประมาณ 100 กว่าเสียง แล้วจะให้ ส.ว.สนับสนุนเสียงในรัฐสภา แต่สูตรนี้รัฐบาลจะไร้เสถียรภาพและจะสร้างปัญหาให้ประเทศอย่างมหาศาล จะมีการชุมนุม รัฐบาลจะบริหารประเทศไม่ได้และต่างชาติจะบอยคอร์ด ดังนั้น ถ้าสว. บางส่วนและพลเอกประยุทธ์ยังมีสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศก็คงไม่ดึงดันจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อย่างไรก็ตาม ดร.พิชาย เห็นว่า จะดูเบากลุ่มชนชั้นนำไม่ได้เช่นกัน

"สูตรของรัฐบาลใหม่ที่มีโอกาสเป็นไปได้และให้การบริหารเป็นไปได้ดี คือ "สูตรที่ 1" โดยพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งจะเป็นตามครรลองประชาธิปไตย รัฐบาลมีเสถียรภาพ แต่ได้ฝ่ายค้านที่อ่อนแอ อีกทั้งชนชั้นนำจารีนิยมจะไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถสั่นคลอนรัฐบาลได้" รศ.ดร.พิชาย กล่าวสรุป

ในช่วงท้าย รศ.ดร.พิชาย ระบุถึงสิ่งที่ไม่อยากเห็นหลังการเลือกตั้งคือผู้มีอำนาจหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไม่เคารพกติกาและครรลองประชาธิปไตย ไม่อยากเห็นการยุบพรรคการเมือง ซึ่งมองว่าจะมี 2 ระยะที่ทำได้คือ ระยะแรกภายใน 60 วันก่อนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) จะรับรองผลเลือกตั้ง ถ้ายุบพรรคช่วงนี้จะเกิดปัญหาสั่นคลอนประชาธิปไตยแน่นอน เพราะประชาชนไม่พอใจ เนื่องจากผู้ที่เลือกมาทั้งหมดไม่ได้เป็น ส.ส. เนื่องจากพรรคการเมืองโดนยุบไปแล้ว / ระยะ 2 คือ ยุบพรรคหลัง กกต.รับรองผลและสถานภาพการเป็น ส.ส เพื่อดูด ส.ส.ที่พรรคโดนยุบไปแล้ว ซึ่งต่างจะเกิดผลเลวร้ายเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ อยากเห็น ส.ว. เคารพประชาชน ,คนที่แพ้การเลือกตั้งเคารพกติกาและอยากเห็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

ด้านนายเมธา มาสขาว กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้เลือกนายกฯในที่ประชุมรัฐสภาก่อนตัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมีการล็อบบี้ โดยเฉพาะการใช้ ส.ว.แต่งตั้งในการต่อรอง แต่มองว่าจะเกิดการพลิกขั้วคือฝ่ายค้าในปัจจุบันจะเป็นแกนหลักในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยต้องรวมเสียงให้มากที่สุดเพื่อให้ได้รัฐบาลเสียงข้างมาก แต่จากนั้นจะมีปัญหาใหญ่ ถ้าไม่แก้ปัญหาเรื้อรังเชิงโครงสร้าง ทั้งทางเศรษฐกิจที่มีผูกขาดโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร , พลังงานรวมถึงโทรคมนาคม ที่ล้วนเห็นความเกี่ยวข้องของกลุ่มทุนกับฝ่ายการเมือง รวมทั้งปัญหาการเมืองอำนาจนิยมและรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ตลอดจนการปฏิรูปกองทัพ ที่รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการแก้ไข

นายเมธา ระบุว่า ประเทศไทยต้องการกลุ่มผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จึงจะนำพาประเทศไปได้โดยช่วง 100 วันแรกความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นจากอำนาจรัฐผ่าน IO (ไอโอ) เพื่อแบ่งแยกและปกครองประชาชน ขณะที่ยังมีนักโทษการเมืองจำนวนมาก รถรัฐบาลใหม่จึงต้องมีกรรมาธิการพิเศษที่พิจารณาเรื่องการนิรโทษกรรม ถือเป็นความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านที่ประชาชนเรียกร้องมาตั้งแต่ปี 2553 จึงไม่ได้หวังว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลเพียงเท่านั้น เพราะหากได้เป็นรัฐบาลแล้วไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างก็ไม่มีประโยชน์

"ไม่อยากเห็นการเลือกตั้งมีปัญหาหรือไม่บริสุทธ์ยุติธรรมและการประกาศผลการเลือกตั้งที่ล่าช้า เพราะเป็นช่องว่างให้กลุ่มอำนาจนิยมใช้ต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่ต้องการให้ใช้อำนา ส.ว.มาเป็นฐานอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาบเสียงข้างน้อย ที่สำคัญไม่ควรมีการยุบพรรคการเมืองใดๆ เพราะเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน" นายเมธา กล่าว

ด้าน ดร.กุลชยา กล่าวถึงการมองอนาคตที่จะส่งต่อไปถึงคนรุ่นลูกในฐานะมนุษย์แม่ แต่เบื้องต้นในระยะใกล้เห็นด้วยที่การจัดตั้งรัฐบาลควรเป็นไปตามสูตร 1 ที่ ดร.พิชาย นำเสนอ คือ รัฐบาลเสียงข้างมาก แต่เห็นว่าควรตระหนักถึงการมองในอนาคตระยะไกลว่าเราจะอยู่อย่างไรในประเทศนี้และเป้าหมายอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศที่ลูกหลานของเราที่จะต้องเติบโตต่อไป ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนตระหนัก

ดร.กุลชยา ระบุว่า คนยุคปัจจุบันผ่านการต่อสู้บนท้องถนน ผ่านการเสียเลือดเสียเนื้อและเห็นผ่านความขัดแย้ง และการรัฐประหารมานับไม่ถ้วน จึงควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุขกับสิ่งที่ทำและมีความถนัดหรือศักภาพที่จะทำได้ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ไทยหรือการกลับคืนสู่รากเหง้าซึ่งต้องพิจารณาเรื่องที่จะต้องปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่ ท่ามกลางโซเชียลมีเดียอย่าง tiktok ซึ่งอาจดึงไปสู่สิ่งที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งไม่เดินตามวัฒนธรรมตะวันตก โดยต้องพัฒนาคนรุ่นต่อไปให้รักชาติ เข้าถึงศาสนาในลักษณะที่ให้เป็นคนดีในแบบที่เขาเลือก ไม่ใช่เฮโลหรือเลือกเชื่อและทำตามเพื่อน เเม้ไม่ใช่ความผิดที่เด็กจะเลือกเชื่อตามเพื่อนเพราะสภาพแวดล้อมทางสังคม แต่ต้องให้เด็กหัดคิดถึงความรับผิดชอบ ที่สำคัญคนในยุคปัจจุบันที่จะวางอนาคตไว้ให้กับคนรุ่นหลังต้องเข้าใจพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วด้วย

"ส่วนสิ่งที่ไม่อยากเห็น คือ "การดีแต่พูด" หาเสียงเเล้วไม่ทำตาม ไม่อยากเห็นการไม่เคารพอัตลักษณ์ของผู้อื่น , ไม่อยากเห็นการมองแบบเเยกส่วนคือ อยากให้มององค์รวมหรือความเชื่อมโยงของสถานการณ์ โดยเอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง เพื่อหาว่าต้องทำอย่างไรเพื่อบรรลุเป้า แม้อาจขัดใจหรือความรู้สึกที่ต้องดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของคนรุ่นหลังในอนาคต หวังให้ทุกคนมองผลประฉยชน์ของชาติเป็นเป้าหมายร่วมกัน และไม่อยากเห็นคนความไม่สมดุลของสังคมไทย (unbalance)" ดร.กุลชยา กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อึ้ง!ปดิพัทธ์บอกยุบ 'ก้าวไกล' แสดงว่าไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยส่งผลสภานานาชาติ

'ปดิพัทธ์' ยอมรับมีชื่อเป็น กก.บห.ก้าวไกล เสี่ยงพ้น สส. หากพรรคถูกยุบจริง แต่เชื่อมั่นว่าการสู้คดีมีน้ำหนัก ไม่เสียดายตำแหน่งรองประธานสภา ชี้งานที่หาเสียงไว้ทำได้หมดแล้ว

'อดุลย์' ยก 6 เหตุผล ค้านรับรองสว.ชุดใหม่ ชี้ขัดรธน. เฉ่งกกต.ละเว้นหน้าที่ผิดม.157

'อดุลย์' ยก 6 เหตุผล ค้านกกต.รับรองผลเลือกสว.ชุดใหม่ ชี้ต้นเหตุมาจากรธน.ชุด 'มีชัย' ที่เคยร่างรธน.ปี2534 จนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ชำแหละสว. 200 ไม่ใช่ตัวแทนกลุ่มอาชีพและตัวแทนปวงชนชาวไทย ถือว่าขัดรธน. เฉ่ง กกต.ไม่ยับยั้งแก้ไขตั้งแต่แรก ละเว้นหน้าที่ผิดม.157 ติง 'อนุทิน' อย่าขึ้นเป็นนายกฯแบบมีมลทิน จะไม่เป็นผลดีในอนาคต

'ประสิทธิ์ชัย' การันตี วงการกัญชามีศักยภาพมากมาย มิใช่ขี้ยาอย่างที่ปลุกปั่น

นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล แกนนำเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย และเพื่อภาคีชาวกัญชาประเทศไทย โพสต์ข้อความพร้อมภาพคนรุ่นใหม่ในเฟซบุ๊กว่า

มธ. จัดเสวนารุมสับระบบเลือก สว.ชุดใหม่ เป็นปัญหามากที่สุด ซับซ้อน ทำให้งงอย่างจงใจ

ศูนย์นิติศาสตร์ จัดเสวนาวิชาการ “การเลือก สว. และประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กับอนาคตประชาธิปไตยไทย” เนื่องในงานรำลึก 32 ปี พฤษภาประชาธรรม 2535

รำลึก 32 ปี พฤษภาประชาธรรม ไม่ควรเสียเลือดเนื้อกันอีก ต้องทำให้รธน.เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ที่อนุสรณ์สถานฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ถนนราชดำเนิน คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา' 35 จัดงาน ‘รำลึก 32 ปี พฤษภาประชาธรรม 2535’