'จตุพร' เตือนอย่าดีเบตมาตรา 112 เดี๋ยวเหตุการณ์ 6 ตุลาจะกลับมา

'จตุพร' หวั่น 6 ตุลาฯ กลับมาหลอน เตือนทั้งพรรคฝ่ายโหนและพวกปฎิรูปรุ่นใหม่ไม่ควรนำปัญหา มาตรา 112 มาดีเบตแลกคะแนนเสียง เชื่อทำสถาบันเสียหาย จี้ กกต.ดับไฟแต่ต้นลม ไม่ใช่ปล่อยไปก่อนแล้วสอยทีหลัง

27 เม.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อนเมื่อช่วงค่ำวันที่ 26 เม.ย. ตอน "เข้าทางใคร?" โดยยกรณี 6 ตุลา 2519 เตือนสติพรรคการเมืองดีเบตหาคะแนนเสียงไม่ควรนำปัญหามาตรา 112 มาถกเถียงเอาชนะกัน เนื่องจากทั้งฝ่ายโหนเจ้าและฝ่ายปฏิรูปสถาบันจะฉวยนำไปปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้นมาได้อีก

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองเรื่องการหาคะแนนเสียงขณะนี้เป็นสิ่งน่ากังวล ถ้าใครคิดการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความราบรื่นต้องคิดผิดสิ้นเชิง เพราะอำนาจองค์กรอิสระยังอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เบ็ดเสร็จ และ ส.ว.ยังมีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ ดังนั้น เครื่องมือนี้ย่อมบ่งชี้การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งจะส่อถึงอาการสะดุดขึ้น

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลหากคิดแบบง่ายๆ ในฐานจำนวนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมถ้าได้ 126 เสียง บวกกับ ส.ว. 250 เสียง รวม 376 เสียง ก็สามารถชิงนายกฯ ไปอยู่ฝ่ายเดิมได้ อีกอย่างยังมีหนทางยุบพรรคให้กวาดเสียง ส.ส.มาเพิ่มเติมให้เกิน 251 เสียง เกินครึ่งของ ส.ส. 500 คน หรือถ้ากวาดต้อนไม่ได้ก็ยุบสภาอีกครั้ง เลือกตั้งใหม่ ย่อมเป็นอาการสะดุดที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ซึ่งตราบใดพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับเลือกถึง 376 เสียงแล้ว ย่อมไม่มีวันไปสู้ในสภายกแรกการเลือกนายกฯ ได้เลย ดังนั้นในการตั้งรัฐบาลจึงขึ้นกับแต่ละพรรคการเมืองกำหนดจุดยืนตัวเองอย่างไรด้วย

นายจตุพรระบุว่า ในการดีเบตที่จัดขึ้นถี่กระชันขึ้นช่วงนี้ ไม่ควรนำปัญหามาตรา 112 มาเป็นหัวข้อถกเถียง เพราะจะไปปลุกพลังฝ่ายอนุรักษ์ขึ้นมา อีกทั้งคนรุ่นใหม่กับการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีแนวคิดเลือกไปในทาง มาตรา112 แต่สุดท้ายผลลัพธ์ย่อมนำไปสู่ความเสียหายกับสถาบันอย่างไม่ควรจะเป็นเลย ดังนั้นขอเตือนว่าถ้าคิดเอาเรื่องสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนของแต่ละฝ่ายกันแล้ว ก็ให้ดู 6 ตุลากันไว้ให้ดี

“ถึงที่สุดจะไม่มีคนยอมกัน วันนี้ ผมไม่ใช่ว่าจะพูดเพื่อให้เกิดอะไร แต่ถ้าหยิบยกเรื่องนี้ (112) มาเป็นเรื่องใหญ่ในวงดีเบตทั้งหลาย จะนำพาให้ถลำกันไปเรื่อยๆ แล้วที่สุดจะกลายเป็นเรื่องเส้นแบ่งบางๆ แล้วขาดได้ตลอดเวลา และจะเกิดการชี้หน้าต่อว่าพวกโหนเจ้า พวกล้มเจ้าในการหาเสียง ทั้งที่เจ้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย สิ่งนี้จะทวีความขัดแย้งของสองซีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

นายจตุพร ย้ำว่า ใครจะเชื่ออย่างไรก็ตามสบาย แต่สำหรับตนเองล้ว เชื่อว่า รื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ในอีกไม่กี่วันหรืออาจก่อนเลือกตั้งหรือหลังก็ตาม เพราะแต่ละฝ่ายปลุกแรงขึ้น เนื่องจากทั้งฝ่ายโหนและล้ม หวังได้คะแนนล้วนแต่ใช้ประโยชน์จากสถาบันทั้งคู่ และทั้งสองฝ่ายต่างมีกองเชียร์ แล้วเอาสถาบันมาเป็นเหยื่อ มาเป็นเครื่องมือจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล

"ถ้าใครคิดว่า ไม่มีอะไรนั้น เมื่อ 6 ตุลาก็คิดกันแบบนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเส้นแบ่งบางๆ มากๆ อยู่ที่ว่าจะเอามาเป็นชนวนกันวันไหน เมื่อแต่ละฝ่ายลากไปกินแดนสถาบันเรื่อยๆ แล้วจะเกิดกระทบกระเทือนไปถึงถาบันตามลำดับ ผมอธิบายไว้ว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหา ใครจะคิดหรือไม่ก็ตาม แต่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะกลายเป็นชนวนนำสู่ความขัดแย้งขึ้นใหม่"

ส่วนการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น นายจตุพรระบุว่า หวังว่าจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา แม้ตนไม่เคยปรารถนาให้มียุบพรรคและไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศนี้ด้วย แต่เมื่อกติกาดำรงอยู่ในการบังคับใช้กับการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงต้องดำเนินการไปตามเนื้อผ้าหรือข้อเท็จจริง ถ้าทำผิดกติกากรรมการมีสิทธิแจกใบเหลืองหรือแดงได้ ถ้ากรรมการไม่ทำหน้าที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน

“ถ้าบอกว่าแข่งขันให้จบก่อน ค่อยว่ากันที่หลัง หรือรับรองไปก่อนสอยที่หลัง จึงเป็นหลักคิดที่เป็นปัญหาใหญ่ของ กกต.มาตลอด และการเลือกตั้งคนจึงสงสัย กกต.มากที่สุดกับการปล่อยไปก่อนเพื่อหวังในสิ่งใดหรือไม่ ผมไม่ได้กล่าวหา แต่คนสงสัย”

นายจตุพร เสนอว่า ถ้ามีความผิดใดๆ เกิดขึ้นต้องจัดการ อย่าไปกลั่นแกล้ง ต้องว่ากันตามถูกและผิด แต่หากไม่ผิดก็ต้องปล่อยตัวไปเป็น ส.ส. ถ้ายึดหลักเพียงปล่อยไปก่อนสอยทีหลังย่อมไม่เกิดผลดีกับฝ่ายใดเลย เท่ากับปล่อยให้มีโอกาสไปปกครองบ้านเมืองก่อน ซึ่งจะเกิดความเสียใหญ่ได้

นายจตุพร กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นเพียงหนทางไปสู่อำนาจ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย และการเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ที่เราไม่เคยมีประชาธิปไตยจริง หรือมีเผด็จการจริง แต่ที่เป็นจริงคือ เป็นการเปลี่ยนคนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ของชาติเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องเริ่มมานับหนึ่งประเทศไทยกันสักที ซึ่งที่ผ่านมา คนไทยมักคิดเหมือนกับ กกต. คือ ปล่อยไปก่อนสอยที่หลัง ทั้งที่ต้องระงับยับยั้งเบื้องต้น เพื่อป้องกันความฉิบหายใหญ่หลวงไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต แต่การอ้างกลัวกระทบเศรษฐกิจโดยรวม จึงทำให้เกิดบรรยากาศหายนะขึ้นจากการปล่อยปละละเลยด้วยข้ออ้างสารพัดนั้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พิธา' เผยไม่ได้เห็นต่าง 'ทักษิณ' เรื่องเปลี่ยนโครงสร้าง เหน็บอย่ามัวแต่พูด ถึงเวลาต้องทำแล้ว

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวระหว่างลงพื้นที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร

'จตุพร' เตือน 'เสี่ยอ้วน' อย่าคลั่งประโยชน์นายมากกว่าประเทศ ระวังจะเอาไม่อยู่

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ควรเร่งรีบเจรจาหาผลปร

'เพื่อไทย' แถบอกรายงานนิรโทษกรรมแค่การศึกษาหากแก้ 112 จริงไม่ยอมแน่

'พท.' จ่อเห็นชอบรายงาน-ข้อสังเกตนิรโทษกรรม บอก แต่ละพรรคโหวตอย่างไร เป็นเอกสิทธิ์ ด้าน 'นพดล' ย้ำ ไม่มีความคิดนิรโทษความผิดม.110 และ 112