'ปิยบุตร' ลั่นสะสมชัยชนะแม้แพ้โหวตในสภา เดินสายอีสานปลุกแก้รธน.ต่อ

‘ปิยบุตร’ เดินสายอุดรธานี-สกลนคร ปลุกแนวร่วมแก้รัฐธรรมนูญต่อ ลั่นสะสมชัยชนะ แม้โดนสภาคว่ำร่าง ดี๊ด๊าจุดประเด็นสภาเดี่ยว ฟื้นอำนาจสถาปนาของประชาชน

26 พ.ย. 2564 – เพจเฟซบุ๊ก “คณะก้าวหน้า” โพสต์ข้อความว่า ท่ามกลางกระแสร้อนแรง หลังมติที่ประชุมรัฐสภาปัดตกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม #รื้อระบอบประยุทธ์ ที่ประชาชนกว่าแสนคนร่วมกันเข้าชื่ออย่างไม่ใยดี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า หนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่เสนอร่างฉบับนี้ เดินทางออกต่างจังหวัดพร้อมๆ กับที่ใครต่อใครต่างก็เข้ามาไถ่ถามว่าประชาชนจะเอาอย่างไรต่อ?

“สำหรับผม การเข้าสภาไปนั่งให้บรรดา ส.ว. ด่ากว่า 16 ชั่วโมง ไม่ถือว่าเป็นความพ่ายแพ้ แต่เป็นการสะสมชัยชนะ” ปิยบุตร บอกกับใครต่อใครในหลายๆ พื้นที่ที่มีโอกาสได้พบ

ขณะที่กิจกรรม #TalkWithPiyabutr ใน 2 พื้นที่ภาคอีสาน คือ “อุดรธานี” กับ “สกลนคร” เขาก็ถือโอกาสนี้เป็นเวทีทำความเข้าใจกับประชาชนที่มาร่วมพูดคุย โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่างเรื่อง “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

ปิยบุตร เริ่มต้นด้วยการชวนคิดตั้งแต่รากศัพท์ของคำว่า “รัฐธรรมนูญ” ซึ่งคำไทยนี้คิดขึ้นโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ หรือ “พระองค์วรรณ” หนึ่งในรัฐมนตรีคนสำคัญยุคคณะราษฎร โดยแปลมาจากภาษาอังกฤษ คือ Constitution ซึ่งมีรากคำมาจากคำว่า Institute ที่แปลว่าการก่อตั้ง + con ที่แปลว่าร่วมกัน ดังนั้น เมื่อดูรากคำศัพท์แล้วจึงแปลความได้ว่า รัฐธรรมนูญ คือ การก่อตั้งสถาปนาร่วมกัน

นี่คืออีกนัยยะหนึ่งที่เขาอยากชวนคิดว่า รัฐธรรมนูญเป็นการต่อสู้เรียกร้องร่วมกันของประชาชนที่ต้องการมีกฎกติกาขีดเส้นอำนาจผู้ปกครองให้ชัด และประกันสิทธิเสรีภาพประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด

เมื่อมีคนมากมายมาอยู่ร่วมกัน และเรายืนยันว่าอำนาจเป็นของทุกคนที่มารวมอยู่เป็นหน่วยเดียวกันในชื่อ “ประชาชน” เราต้องการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นมา โดยการกำเนิดของรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าดูจากประวัติศาสตร์แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ หล่นลงมาจากฟากฟ้า หากแต่เป็นผลผลิตการต่อสู้ และเป็นผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ อาทิ รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของอเมริกา ก็มาจากการประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ, รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ก็มาจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง

“การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญในตะวันตกเป็นผลพวงจากที่ประชาชนสู้กับผู้ปกครอง เพื่อกำหนดว่าผู้ปกครองจะมาจากไหน มีการจำกัดผู้ปกครองอย่างไร และประกันสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างไร”

ปิยบุตร ชวนมาดูการกำเนิดรัฐธรรมนูญฝั่งตะวันออกบ้าง ประเทศในตะวันออกมีการปกครองรูปแบบตนเอง แต่ก็ถูกล่าอาณาณิคมตกเป็นเมืองขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ประเทศตะวันออกหยิบมาต่อสู้คือการประกาศความเป็นศิวิไลซ์ ประกาศว่าตนเองไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน แต่มีประเพณีดีงาม นี่เองที่ทำให้ผู้ปกครองเริ่มคิดทำรัฐธรรมนูญ อาทิ ญี่ปุ่นรับเอารัฐธรรมนูญปรัสเซียมาเป็นรัฐธรรมนูญเมจิ ขณะที่สยามในขณะนั้นก็มีเสียงเรียกร้องจากบรรดาเจ้านายต่างๆ เช่น กรณีของ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ที่ถวายคำกราบบังคมทูลเรียกร้องต่อรัชกาลที่ 5 จนถูกทำโทษ

มาจนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงให้ที่ปรึกษาต่างประเทศร่างรัฐธรรมนูญมาฉบับหนึ่ง และให้ข้าราชการชั้นสูงร่างมาอีกฉบับหนึ่ง รวมแล้วเป็น 2 ฉบับ แต่ร่างทั้ง 2 นี้เขียนชัดว่า “อำนาจสูงสุดเป็นของพระมหากษัตริย์” ขณะที่ หัวหน้าฝ่ายบริหารสภาก็มาจากการเลือกของพระมหากษัตริย์

ปิยบุตร สรุปให้เห็นว่า ความพยายามที่จะมีรัฐธรรมนูญของตะวันตกนั้น เกิดจากการต่อสู้ของประชาชน ขณะที่ในตะวันออกเกิดจากชนชั้นบนมองว่าอยู่แบบเดิมไม่ได้ ต้องยืมความคิดแบบฝรั่งมาทำ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือของผู้ปกครอง เพื่อป้องกันการล่าอาณานิคม เพื่อศิวิไลซ์ แก้ปัญหาภายในของราชสำนัก แต่เนื้อหาสาระยังยืนยันว่าอำนาจเป็นของพระมหากษัตริย์เหมือนเดิม
.
อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันก็มาถึง เมื่อมีการปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้เกิดรัฐราชการรวมศูนย์ รัฐมีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่สามารถให้คนครอบครัวเดียวบริหารได้ เกิดระบบรัฐราชการขึ้นมา นี่เองที่ทำให้คนธรรมดาได้มีโอกาสเข้ามาร่วมด้วย โดยกลุ่มแรกๆ ที่มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกก็เช่น ปรีดี พนมยงค์, แปลก ขีตะสังคะ เป็นต้น ซึ่งรัฐสยามเวลานั้นต้องการคนใหม่แต่อุดมการณ์เดิม แต่ทว่าเมื่อคนเหล่านี้ไปเรียนแล้ว กลับมาเห็นว่าเป็นแบบที่เป็นอยู่ไปไม่รอดแน่ๆ ประเทศไทยต้องมีการปกครองแบบใหม่

จึงเป็นที่มาของการ “อภิวัฒน์” เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก 27 มิ.ย. 2475 ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย

“สิ่งที่คณะราษฎรทำเวลานั้น ถูกโจมตีว่าเป็นเรื่องชิงสุกก่อนห่าม มีอีกฝ่ายตั้งคำถามว่าทำไปทำไมเพราะ ร.7 ตั้งใจพระราชทานรัฐธรรมนูญให้อยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อเราลองไปค้นดู กลับไม่ใช่ เพราะรัฐธรรมนูญที่ทรงให้ร่างขึ้นทั้ง 2 ฉบับนั้น เนื้อหาคนละเรื่องกับที่คณะราษฎรจัดทำขึ้นมา เพราะของ ร.7 ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่ของคณะราษฎรยืนยันว่าอำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย ซึ่งนี่หมายความว่าคนละระบอบการปกครอง ดังนั้น ถ้าใครบอกว่าคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม ไม่ใช่ เพราะวิธีคิดเรื่องรัฐธรรมนูญของทั้งสองฝ่าย ไม่เหมือนกัน” ปิยบุตร กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากปี 2475 มาจนถึงวันนี้ 90 ปี ผ่านไป แต่เรายังต้องสู้เรื่อง “อำนาจสูงสุดเป็นของใคร” รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญครั้งหนึ่งก็เคยยืนยัน “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน” และต่อให้ไม่ต้องมาบอกเราก็ต้องยืนยันว่าอำนาจนี้ติดตัวมนุษย์ตั้งแต่กำเนิด อำนาจเป็นของทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ต้องมีส่วนกำหนดกฎกติการ่วมกันว่าจะอยู่กันอย่างไร

ปิยบุตร ตั้งคำถามว่า “เราพูดทุกเมื่อเชื่อวันว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติ เราเคยได้สถาปนาหรือไม่ เคยได้ทำรัฐธรรมนูญเองหรือไม่?”

เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ไล่ย้อนที่มารัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วมีที่มาจากการที่ทหารยึดอำนาจ แล้วร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา โดยที่ประชาชนแทบไม่มีส่วนร่วมเลย ที่ใกล้เคียงพอเป็นแบบอารยะชนหน่อยก็คือรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2534 เปิดทางตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.

“ดังนั้นที่พูดว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด จะเห็นว่าเราไม่เคยกำหนดรัฐธรรมนูญเลย คำนี้เป็นเพียงแหล่งที่เขาอ้างความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ผ่านมา เขาเปิดโอกาสให้เรารวมพลังแสดงออกมามั้ยว่าอยากให้ประเทศไทยปกครองแบบไหน? อยากได้รัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร? ไม่เลย ประชาชนไม่มีโอกาสเลย เหตุการณ์ในการประชุมรัฐสภาเมื่อวันก่อนชัดเจน ประชาชนกว่าแสนคน เข้าชื่อเพื่อขอแก้ไข ซี่งก็ยังไม่ได้สถาปนารัฐธรรมนูญเต็มรูปแบบ เป็นแค่การแก้ตามกติกาที่เขากำหนด เดินตามตรอกออกตามประตู แต่กลับถูกปิดประตูใส่ ไม่เปิดทางให้ทำอะไรเลย สภาวการณ์แบบนี้อันตรายอย่างยิ่ง”

ประชาชนขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับต้องขออนุญาตบรรดา ส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน สถานการณ์ตอนนี้ ต่อให้มีเสียง ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากเท่าไหร่ก็ตาม ก็ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ ถ้า ส.ว. ไม่อนุญาต และที่ผ่านมาแก้ไขได้แค่เพียงเรื่องระบบเลือกตั้ง ซึ่ง 2 พรรคการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลเห็นตรงกันว่าตนจะได้ประโยชน์ ขณะเดียวกัน ส.ว. ก็ไม่เสียประโยชน์ ไม่เสียอำนาจอะไรด้วย

“มีคนถามผมว่ารู้อยู่แล้วว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้จะไม่ผ่าน เพราะ ส.ว. ไม่ให้ผ่าน แล้วทำทำไม? ผมอยากชวนคิดว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ถ้าประชาชนอยากแก้ก็ต้องแก้ได้สิ จะต้องให้ไปกราบ ส.ว. อย่างนั้นเหรอถึงจะทำได้”

สำหรับเขาแล้ว แม้จะเป็นแพ้การโหวตในสภา แต่ทว่านี่เป็นการสะสมชัยชนะไปเรื่อยๆ มีชัยชนะ 2 ประการ คือ 1.ความคิดเรื่องสภาเดี่ยวถูกจุด คนเริ่มคิดแล้วว่าประเทศไทยไม่ต้องมีวุฒิสภาหรือ ส.ว. ก็ได้ เชื่อว่าหากมีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญครั้งหน้า เรื่องนี้จะเป็นกระแสหลัก รวมถึงความคิดเรื่องศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ ที่จะต้องถูกตรวจสอบถ่วงดุลย์ มีความเกี่ยวโยงกับประชาชนผ่าน ส.ส. หรืออาจไปถึงขั้นไม่ต้องมีก็ได้ เหล่านี้ก็ถูกจุดติดเช่นกัน

2.ความพยายามรื้อฟื้นอำนาจสถาปนาของประชาชน ซึ่งเราทดลองการแก้รัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ถูกสภาปัดตกถึงสองครั้งติดๆ กันแบบไม่แยแส นี่จะยิ่งทำให้สถานการณ์แหลมคมขึ้น สุกงอมมากขึ้น และยิ่งสร้างความชอบธรรมให้ประชาชนมากขึ้นว่า เมื่อแก้แบบนี้ไม่ได้ ประชาชนก็จะหาทางใช้อำนาจให้ได้ หาทางยืนยันว่า “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักวิชาการแนะทางแก้ 'ปลาหมอคางดำ' เชื่อแพร่พันธุ์ภาคอีสานยาก

ผศ.ดร.พรเทพ เนียมพิทักษ์ หัวหน้าสาขาวิชาประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. เปิดเผยว่า แม้ขณะนี้ยังคงไม่พบการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำในภาคอีสาน

'ปิยบุตร' แนะ 'ชาญ พวงเพ็ชร์' ใช้สปิริตลาออก เหตุระบบกฎหมายตอนนี้มันลักลั่น

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวถึงผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อบจ.ปทุมธานี) ว่า ตัวเลขออกมาแล้ว ไม่ว่าจะชนะมากหรือน้อย จะขาดหรือไม่ขาด ก็เป็นผลการเลือกตั้งที่ประชาชนตัดสินใจมา

'ปิยบุตร' ดักคอพรรคจ้องดูด สส.งูเห่า เอาไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเสถียรภาพรัฐบาล

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ สัดส่วนพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมนัดแรก

'ปิยบุตร' หนุน 'กกต.' เร่งประกาศรับรองผล 'เลือก สว.' ก่อนค่อยสอยทีหลัง

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการเลือก สว.ว่า ผลที่ออกมาแปลกประหลาดมาก ซึ่งหากมีปัญหาเช่นนี้ก็ไม่สอด

'นักวิชาการ' วิเคราะห์ผลการเลือกสว.จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ มากกว่าเป็นผลเสีย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า