'สมาคมรักษ์ทะเลไทย' จวกพรรคการเมืองไทยทุกพรรคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน 'สอบตก' เรื่องนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรทะเล จี้ทบทวน เรือปั่นไฟจับปลากะตัก เรืออวนลาก เตือนไทยหลีกมาตรการทางสากลต่างๆไม่ได้
11ม.ค.66 - นายบรรจง นะแส ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่ง สมาคมรักษ์ทะเลไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง นโยบายพรรคการเมืองต่อบทบาทในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทะเลไทย มีเนื้อหาดังนี้
ช่วงนี้ใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาทุกขณะ พรรคการเมืองกำลังเสนอนโยบายของพรรคเพื่อให้ตอบโจทย์ของปัญหาในแต่ละด้าน ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองหลายพรรคให้เกียรติบุกมาถึงสนง.มีหลายคำถามที่น่าสนใจ ผมขอประมวลสรุปไว้เผื่อที่พรรคการเมืองต่างๆสนใจจะนำไปไตร่ตรองดู ว่าท่านควรจะมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับปัญหา/และทางออกของทรัพยากรทะเล
1.ผมบอกไปว่าพรรคการเมืองไทยทุกพรรคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน “สอบตก” ในเรื่องของนโยบายในบริหารจัดการทรัพยากรทะเล ผมวิเคราะห์แบบไวๆให้เขาฟังว่า เพราะทุกพรรคการเมืองไม่ได้เป็นพรรคมวลชนที่แท้จริงแม้แต่พรรคเดียว แต่ส่วนมากเป็นพรรคของกลุ่มทุนทั้งในระดับชาติและทุนท้องถิ่น ในเรื่องทะเลตัวแทนพรรคการเมืองคือเจ้าของธุรกิจทางการประมงตั้งแต่เจ้าของเรือใหญ่/แพปลา/โรงงานน้ำแข็ง/โรงงานปลาป่นฯลฯ ถ้ามาดูกันในแง่ของฐานมวลชนที่แท้จริงชาวประมงพื้นบ้านทั่วประเทศใน22จังหวัด มีจำนวนถึง85%ของประชากรที่ทำอาชีพประมง แต่ประมงพานิชย์มีเพียง15%แต่พรรคการเมืองทุกพรรคล้วนผูกอยู่กับกลุ่มประมงพานิชย์ที่มีจำนวนเพียง15% อะไรที่เป็นเช่นนั้นสังคมไทยรู้ดี
2.พรรคการเมืองทุกพรรคไม่ทำการบ้านในเรื่องทรัพยากรในทะเลอย่างจริงจัง มองแต่ภาพเฉพาะหน้า ขาดวิสัยทัศน์ในการจัดการทรัพยากรทะเลที่ยั่งยืน และปล่อยให้อำนาจในการต่อรองทั้งในระดับนโยบายและการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินตกอยู่ภายใต้อำนาจของระบบทุนทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ในเรื่องปัญหาทรัพยากรทางทะเลผมยังไม่ได้ยินพรรคไหนพูดถึงการพัฒนาทรัพยากรในทะเลอย่างยั่งยืนแม้พรรคเดียว แต่มักพูดถึงจะทำอย่างไรให้พี่น้องทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านอยู่ร่วมกันให้ได้ เสมือนพยายามคิดค้นนโยบายที่จะเอา “ฝูงลูกเขียดกับงูจงอางมาขังไว้ร่วมกันในโอ่งเดียวกัน”ให้ได้ ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ทำการบ้านทั้งในเรื่องต้นทุนทางทรัพยากร การประกอบอาชีพที่หลากหลายและแตกต่างของอาชีพประมงหรือวิทยาศาสตร์ทางทะเลแม้แต่นิดเดียว
3.พรรคการเมืองพยายามคิดรูปแบบที่ทำให้ดูเสมือนการสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เช่นเสนอ “สภาชาวประมงแห่งชาติ” ซึ่งก็ดูดีทีเดียว แต่ในทางปฏิบัติอยากให้แต่ละพรรคลองไปศึกษา สภาเกษตรกรแห่งชาติ กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร คณะกรรมการชุดต่างๆที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา(เวลาถูกเกษตรกรสาขาอาชีพต่างๆเดือนร้อนแล้วทนไม่ไหวลุกกันขึ้นมาเดินขบวน)ฯลฯ ว่ากลไกเหล่านั้นสามารถตอบสนองการแก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน???และติดขัดตรงไหน??? การเสนออะไรใหม่ๆให้ดูดีๆมันไม่พอ เพราะประชาชนเองก็มีประสบการณ์มาแล้วมากมาย
3.รูปธรรมของความล้มเหลวในอดีตในการจัดการทรัพยากรทางทะเลที่พรรคการเมืองจะต้องทบทวนเช่น
3.1 กรณีเครื่องมือทำการประมงแบบทำลายล้างที่เรียกว่า “เรือปั่นไฟจับปลากะตัก” ในปี2526ประมงพื้นบ้านทั่วประเทศเดือดร้อนกันมาก มีการออกประกาศกระทรวงเกษตรฯโดยนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ รมช.เกษตรในสมัยนั้น ปัญหาก็ทุเลาเบาบางลง แต่พอถึงปี2539มีรัฐมนตรีท่านนึง(นายมณฑล ไกรวัศนุสรณ์ ซึ่งก็มาจากธุรกิจประมงพานิชย์)ออกประกาศยกเลิกให้กลับไปทำการประมงด้วยวิธีปั่นไฟได้อีก ไม่มีพรรคการเมืองไหนแม้แต่พรรคเดียวที่ลุกขึ้นมาทัดทาน เป็นที่มาของลูกปลาทูตัวเล็กยังถูกทำลายอย่างมหาศาลและต้มตากขายกันเกลื่อนตลาดในปัจจุบัน
3.2 กรณี เรืออวนลาก นักวิชาการกรมประมงได้พยายามทำหน้าที่บอกว่าภาวะทรัพยากรทางทะเลไทยกำลังวิกฤติ อยู่ในภาวการณ์ทำการประมงที่เกินศักยของทะเล(Over Fishing) จากงานวิจัยทุกสำนักสรุปว่า “อวนลาก” คือเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนหลากหลายชนิดที่รุนแรงที่สุด จะต้องหาทางยุติ วิธีการในยุคนั้นคือการหาทางยุติโดยวิธีการนิ่มนวลค่อยเป็นค่อยไปโดยออกมาตรการไม่ให้มีการต่ออาญาบัตรและไม่ออกทะเบียนเรือเพิ่ม มีจำนวนเท่าไหร่ก็หยุดแค่นั้น เมื่อเรือเก่าหมดอายุใช้งาน อวนลากก็จะหมดไปจากท้องทะเลไทย แต่มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเพราะทุกพรรคการเมือง ปล่อยให้มีการ “นิรโทษกรรมเรืออวนลาก”หนแล้วหนเล่า ประเทศนี้มีการนิรโทษเรืออวนลากมาแล้ว4ครั้ง ปัญหาทรัพยากรในทะเลไทยจึงวิกฤติสุดๆ เมื่อโดนมาตรการสากลอย่างกรณี IUU FISHING /C.188 ทั้งประมงพาณิชย์ขาใหญ่และกรมประมงตลอดจนกลไกลวกๆที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จึงดิ้นกันเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าอยู่ในปัจจุบัน
4.ประเทศเราหลีกมาตรการทางสากลต่างๆไม่ได้หรอก ไม่ว่าข้อตกลงเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นเรื่องSDG( Sustainable Development Goal)เรื่องทะเลอยู่ในข้อที่14/IUU FISHING/มาตรการคุ้มครองแรงงานประมงC.188ฯลฯ เพราะหากเราไม่รับ/ไม่ปฏิบัติก็จะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นๆอีกมากมาย พรรคการเมืองไม่ควรหาเสียงเพียงเพื่อเอาชัยชนะการเลือกตั้งเฉพาะหน้า ไม่บอกความจริงกับประชาน แต่เลือกพูด/บอกเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ลงไปหาเสียง
5.พรรคการเมืองทุกพรรคจะมีคณะกรรมการนโยบายพรรค ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ไม่ค่อยสนใจข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งในเรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเป็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลายๆกรณีไม่สามารถเอาผลประโยชน์ของกลุ่มทุน/สมาชิกมาเป็นที่ตั้งได้ ต้องมีข้อมูลที่เป็นวิชาการ/เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเรื่องบริหารจัดการทรัพยากรเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น......
เรียนมาด้วยความรักในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทน/และเอาผลประโยชน์ของสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชำแหละ ม.69กม.ประมง เปิดทาง อวนล้อม3มิล มุ่งจับสัตว์น้ำวัยอ่อน โศกนาฏกรรมทางทะเล
นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงการคัดค้านการร่างพ.ร.บ.ประมง มาตรา 69 ว่า
ทศวรรษนานาชาติแห่งวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่รณรงค์กันมายาวนานต่อเนื่อง...และจะยังคงต้องรณรงค์กันต่อไป และ...วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่จะต้องรณรงค์คู่ขนานกันกับการพัฒนา
เตือนเพื่อไทย! ปลุกผี 'เรืออวนรุน' ฆาตกรชายฝั่งทะเลไทย
“นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย” ฟาดหนักเพื่อไทยผ่อนผันเรืออวนรุน เปิดทางฆาตกรชายฝั่งทะเลไทยกลับมาอีกครั้ง ทำลายล้างระบบนิเวศย่อยยับ –ครอบครัวชาวประมงล่มสลาย เตือนเตรียมรับมาตรการตอบโต้ทั่วสารทิศไม่มีวันถอย
บูรณาการการพัฒนาที่ยั่งยืนในการศึกษา
นานาประเทศต่างมุ่งหมายขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน และการศึกษาคือเฟืองที่ส่งกำลังหมุนการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ความสนใจต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมีมาหลายทศวรรษ
'เศรษฐา' หารือ นายกฯแคนาดา มุ่งร่วมมือเสริมสร้างศักยภาพที่แน่นแฟ้นขึ้น
'เศรษฐา' หารือ นายกฯแคนาดา มุ่งร่วมมือเสริมสร้างศักยภาพที่แน่นแฟ้นขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เพื่อการเติบโตครอบคลุม และการพัฒนาที่ยั่งยืน
สร้างวัฒนธรรมการฟื้นฟูนิเวศวิทยา สังคม สุขภาพในสมการการพัฒนาเศรษฐกิจ
ในวันนี้ที่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นคำพูดสวยหรูที่แพร่หลายไปทั่วทุกแวดวงสังคม ตั้งแต่เป็นป้ายอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษา ไปจนถึงหัวข้องานสัมมนาโดยบริษัทชั้นนำและองค์กรระหว่างประเทศ ชีวิตของรจและชาวบ้านนาหนองบง จังหวัดเลย ได้ผ่านวันคืนที่เติบโตมากับเสียงหริ่งเรไรยามค่ำท่ามกลางป่าที่สมบูรณ์ สู่ยุคที่เสียงธรรมชาติและอากาศสะอาดถูกทดแทนด้วยเสียงระเบิดเหมืองและมลพิษ มาถึงจุดปัจจุบันที่ซากการพัฒนาทิ้งสารเคมีไว้ในดินและน้ำ ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี และเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของชุมชนที่ประสบภัยจากปัญหาการพัฒนาเหมืองแร่ที่ขาดมิติการฟื้นฟู และขาดการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ในสมการ