‘อดีตรองอธิการบดี มธ.’ จี้รัฐขุดรากถอนโคน พวกบิดเบือนล้มล้างสถาบัน

26 ธ.ค.2565-รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า กรณีครูส้มที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย เป็นสัญญานเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น ส่วนที่อยู่ด้านล่างที่ไม่ได้โผล่ขึ้นมายังมีอีกมากมายที่เราอาจคาดไม่ถึง บางคนอาจตั้งคำถามว่า ครูส้มคงไม่ได้สอนนักเรียนแบบนี้เป็นครั้งแรก บังเอิญครั้งนี้นักเรียนคนหนึ่งถ่ายคลิปออกมาเผยแพร่ จึงเป็นเรื่องขึ้นมา ก่อนหน้าครั้งนี้ก็ไม่ทราบว่าครูส้มสอนเด็กแบบนี้มาแล้วกี่รุ่น ผลิตเด็กให้มีความเชื่อและวิธีคิดแบบนี้มาแล้วกี่คน

เชื่อว่า การสอนเด็กด้วยชุดความคิด และความเชื่อแบบครูส้ม ไม่ได้เริ่มขึ้นในโรงเรียน แต่เริ่มขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยอาจารย์จำนวนหนึ่งซึ่งมีอยู่ในเกือบจะทุกมหาวิทยาลัยทั้งอาจารย์ประจำและอาจารย์พิเศษ มีการสอดแทรกชุดความคิดทางการเมืองของตัวเอง สอนว่ารัฐบาลที่ไม่ได้เกิดจากการเลือกตั้งทั้งหมดคือรัฐบาลเผด็จการ ทำให้ประเทศล้าหลัง การเลือกตั้งเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศเจริญได้ มีความเท่าเทียมได้สอนว่าพระมหากษัตริย์ทรงลงมาแทรกแซงการเมือง ให้การสนับสนุนการทำรัฐประหาร พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์คือต้นกำเนิดของความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน มีกการนำข่าวลือต่างๆในทางไม่ดีที่ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และเกี่ยวกับรัฐบาลหรือนักการเมืองที่ตัวเองไม่ชอบมาเล่าให้นิสิตนักศึกษาที่ตัวเองสอนฟัง โดยไม่แยกแยะว่าเรื่องใดเป็นเพียงข่าวลือ เรื่องใดเป็นความจริง พูดอีกอย่างหนึ่งคือ อาจารย์เหล่านี้นำความเห็นทางการเมืองของตัวเองใส่ลงไปในสมองของเด็กโดยไม่แยกแยะว่าเรื่องใดคือความเห็น เรื่องใดคือข้อเท็จจริง ซึ่งแน่นอนว่ากว่าครึ่งของเด็กในห้องเรียนจะมีความเห็นคล้อยตาม เมื่อจบการศึกษาเป็นบัณทิตก็จะมีจำนวนหนึ่งสมัครเป็นครูตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งครูส้มก็คือหนึ่งในนั้น และคงมีคนแบบครูส้มอีกเป็นจำนวนมาก

ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าจะมีมานานร่วม 20 ปีแล้ว นั่นคือสาเหตุที่ในปัจจุบัน ทั้งนักเรียน และนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจำนวนมากชู 3 นิ้วในทุกโอกาสที่ทำได้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือสาเหตุที่ในโรงภาพยนต์มีผู้ลุกขึ้นยืนตรงเมื่อเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีกันน้อยมาก จนคนที่อยากจะลุกขึ้นยืนตรงเกิดความเขินอาย และนั่นคือสาเหตุที่เกิดม็อบ 3 นิ้วที่ทั้งจาบจ้วง หยาบคาย ล้อเลียน และกระทำการอันเป็นการย่ำยีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

ในระยะแรกๆอาจารย์เหล่านี้อาจจะมีแนวคิดไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้มีการร่วมมือกับองค์กร หรือกับบุคคลต่างๆ และไม่ได้ทำกันอย่างเป็นขบวนการ แต่เมื่อได้พบผู้ที่มีแนวคิดแบบเดียวกันในสถาบันอื่นๆ พบกับผู้บริหารองค์กรเอกชนบางองค์กร จึงเริ่มมีการทำงานกันแบบเป็นขบวนการ  และในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาขบวนการนี้เริ่มเข้าสู่การเมืองระดับประเทศเป็นครั้งแรก โดยตั้งพรรคการเมืองส่งคนลงสมัคร ส.ส.พยายามผลักดันให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พยายามผลักดันให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์เอง สร้างสัญลักษณ์ 3 นิ้ว จนเกิดมีสาวกที่นำสัญลักษณ์นี้ไปใช้กันทั่วประเทศ แกนนำที่ดำเนินการทางการเมืองเหล่านี้ก็น่าจะเป็นผลผลิตที่ออกมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆดังกล่าวเช่นเดียวกับครูส้มนั่นเอง 

กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ขบวนการนี้ได้ทำให้ประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งกว่าสมัยเสื้อเหลืองและเสื้อแดง สร้างความแตกแยกระหว่างคนในครอบครัวเดียวกัน ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสกับคนรุ่นใหม่ ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และระหว่างชนชั้น จนเกิดความวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน ยังดีที่ระยะหลังคนเริ่มรู้ทัน การปลุกม็อบของพวกคุณจึงจุดไม่ค่อยจะติด จากที่เคยมีผู้มาร่วมชุมนุมมากที่สุดเหยียบแสน เดี๋ยวนี้มีคนมาร่วมไม่กี่คน ยังมีจำนวนน้อยกว่าตำรวจควบคุมฝูงชนและสื่อมวลชนเสียอีก นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่ามาร่วมชุมนุมแล้วไม่มีประโยชน์อะไร และเริ่มเห็นว่าสิ่งที่พวกคุณพยายามปั่นกันนักหนาใน social media ส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง หลายคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกให้ติดคุกติดตะรางจนอาจเสียอนาคตไป 

 แม้ม็อบจะจุดไม่ติด แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจเพราะขบวนการนี้ยังไม่จบ ยังคงดำเนินต่อไป การสอดแทรกความคิด และความเห็นทางการเมือง และเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในแนวทางของขบวนการยังคงดำเนินต่อไปในระดับมหาวิทยาลัย กรณีครูส้มแสดงให้เห็นชัดว่า ขณะนี้ลงไปในระดับโรงเรียน และกำลังลงไปในระดับครอบครัว แล้ววนกลับมาที่ระดับมหาวิทยาลัย เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นวงจรที่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง

คำถามคือ หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงของรัฐจะมีมาตรการอย่างไร ที่จะตอบโต้ขบวนการนี้  ที่ผ่านมาบอกได้เลยว่า รัฐอาจมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับขบวนการนี้ แต่การดำเนินการเชิงรุกที่จะหยุดหรือชะลอวงจรนี้ลงยังไม่มีให้เห็นเป็นรูปธรรม มีแต่รอให้เกิดขึ้นแล้วจึงดำเนินคดี อย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า การกระทำต่างๆของขบวนการนี้เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นกระทำเหล่านี้ต้องหยุดลง แต่นอกจากการดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ 116 ซึ่งเป็นการหยุดที่ปลายเหตุ แต่มาตรการป้องกันที่ต้นเหตุหรือต้นตอของปัญหาจะต้องมีด้วย แต่ก็ยังไม่มี และการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างก็ยังดำเนินต่อไป

หากมีการผลิตบุคลากรที่มีความคิดตามขบวนการนี้ในทุกระดับต่อไปเรื่อยๆ แม้ไม่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในระยะ 10 ปีข้างหน้า แต่ในอนาคตหลังจากนั้น ยังไม่มีใครรู้ว่าอีกนานเท่าใด ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนจากการเป็นราชอาณาจักรไปเป็นประเทศสาธารณรัฐเป็นแน่

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นักวิชาการ' วิเคราะห์ผลการเลือกสว.จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ มากกว่าเป็นผลเสีย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

'เรียงหิน' เชื่อคดี 'นช.ทักษิณ' ไม่กระทบรัฐบาล ส่วนคดี 'เศรษฐา' ก็จะชินไปเอง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอัยการเตรียมนำตัวนาย