'ดร.สุวินัย'แชร์บทความ 'เปลือยทักษิณ ผู้ไม่เคารพกฏหมาย' ชำแหละภูมิหลังเข้าสู่การเมือง วิถี'ประชานิยม' เป็นไปเพื่อให้ได้สส.มากที่สุด ในสมัยลูกก็เอาเงินคนอื่นมาซื้อเสียงเพื่อได้อำนาจการเมือง ฟันธงค่าแรงวันละ 600 ค่าจ้าง เงินเฟ้อ จะตามมาอีกเป็นงูกินหาง
9 ธ.ค.65 - ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้
เปลือยทักษิณ ผู้ไม่เคารพกฏหมาย
โดย ศ.ดร. ชวินทร์ ลีนะบรรจง
อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
//////
คนรุ่นผู้เขียนน่าจะเข้าใจทักษิณได้ดีกว่าคนรุ่นอื่น
ทักษิณเข้ามาสู่การเมืองก่อนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปีพ.ศ.2540 แต่มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำก็เมื่อมีการลดค่าเงินบาทเพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 1 ก.ค.40
ใครที่กู้เงินตราต่างประเทศได้รับผลร้ายจากการลดค่าเงินบาทโดยถ้วนหน้า แต่กิจการของทักษิณกลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เขาฉลาดกว่าผู้อื่นหรืออย่างไร?
คำตอบก็คือ การตัดสินใจลดค่าเงินบาทในครั้งนั้นมิได้มีเฉพาะผู้ว่าธปท.กับนายกฯเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติ หากแต่มีบุคคลที่ 3 ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมรับรู้ด้วย สุเทพ เทือกสุบรรณก็เคยอภิปรายในเรื่องนี้ ถูกฟ้อง และศาลก็ยกฟ้อง
การรู้ว่าเมื่อไรจะลดค่าเงินบาทจึงเป็นประเด็นที่นำมาอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลมากที่สุดว่าทักษิณที่ในขณะนั้นร่ำรวยมหาศาลจากการเป็นเจ้าของกิจการผูกขาดโทรศัพท์มือถือที่ได้รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์ ทำไมจึงเข้ามาในวงการเมืองที่เป็นเสมือนเตาเผาเงิน
ถ้าไม่เชื่อลองไปขอเงิน 500 ล้าน จาก เมีย พ่อ หรือใครก็ได้ บอกว่า เพื่อมาลงทุนเล่นการเมือง ตั้งพรรคการเมือง ดูซิว่าจะได้อะไร?
เงินที่ได้จากข้อมูลการลดค่าเงินบาทจึงเป็น “เงินร้อน” ที่ไม่สามารถบอกใครที่ไหนได้ แต่เหมาะสมที่สุดที่จะนำไปใช้ลงทุนในการเมืองโดยไม่ต้องควักกระเป๋าแม้แต่บาทเดียว รายจ่ายทางการเมืองมันชี้แจงตรงไปตรงมาไม่ได้อยู่แล้วจริงไหม
ถ้าศึกษาภูมิหลังทักษิณ เขาไม่ได้มีเงินถุงเงินถังมาก่อน หากแต่ต้องดิ้นรนทำมาค้าขายทุกอย่างตั้งแต่ขายคอมพิวเตอร์จนถึงบัสซาวด์ พร้อมๆกับรับราชการเป็นตำรวจไปด้วย ธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับคนอื่นส่วนใหญ่ล้มเหลว
การออกมาทำธุรกิจเต็มตัวก็ด้วยระเบียบราชการที่ไปต่อไม่ได้หากเป็นบุคคลล้มละลาย
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจผูกขาด ทักษิณจึงได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า การเป็นผู้กำหนดกติกากับผู้เล่นตามกติกาอันไหนสบายกว่ากัน การเข้าสู่การเมืองในฐานะผู้ออกกฎจึงเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อปกป้องกิจการผู้ขาดทั้งโทรศัพท์มือถือและกิจการดาวเทียมที่ตนเองได้มาอย่างลำบาก
อย่าลืมว่าเมื่อคุณใช้เงินเพื่อให้ได้มาซึ่งการผูกขาด(จากอำนาจรัฐ เช่น สัมปทาน) ย่อมมีคนยินดีจ่ายมากกว่าเพื่อแย่งมันไปจากคุณหากเห็นว่ามีกำไรดี
แต่การเข้าสู่การเมืองโดยเป็นเจ้าของสัมปทานมันถูกห้ามโดยกฎหมายเพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การซุกหุ้น(หรืออำพรางความเป็นเจ้าของในกิจการที่ค้าขายกับรัฐ) ทั้งในชื่อคนรถคนสวนคนใช้จึงเป็นภาคแรกและติดตามมาด้วยภาคสองในชื่อน้องเมีย น้องสาวและลูกในเวลาต่อมา ในคดียึดทรัพย์ที่ศาลสั่งยึดก็เพราะศาลไม่เชื่อว่าน้องเมีย น้องสาวและลูก 2 คนจะเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง
ทักษิณไม่เคยอายที่จะไม่เคารพกฎหมาย แม้แต่ฉบับเดียวก็ว่าได้
........
ตัวตนทักษิณโดยย่อข้างต้นจึงแสดงออกถึงวิธีการดำเนินงานทางการเมืองของเขาด้วยการเอาเงินคนอื่น(ภาษี) มาซื้อเสียงที่เรียกว่า “ประชานิยม”
เพราะอาศัยการวาดฝันเอาใจประชาชนผู้ลงคะแนนไม่ว่าในทางใดก็ตามเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนที่จะพาตนเองเข้าสู่อำนาจทางการเมือง
ในสายตาเขาประชาชนจึงเปรียบเสมือน “คนตาบอดที่ไม่กลัวเสือ”
วิถี “ประชานิยม” จึงเป็นไปเพื่อบรรลุจุดประสงค์เดียวคือให้ได้ สส. เข้าสภามากที่สุด โดยมีรูปแบบดังนี้
(1) วาดฝันเรื่องกินดีอยู่ดีโดยไม่แจงที่มา
(2) ออกนโยบายเสื้อโหล one size fits all เช่น กองทุนหมู่บ้าน หรือ หนึ่งตำบล หนึ่งทุน ที่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ทุกคนแบบ “เหวี่ยงแห” แต่ไม่ได้คำนึงเลยว่า แต่ละหมู่บ้านต้องการเงินทุน 1 ล้านบาทหรือไม่ แต่ ผู้สมัคร สส. เอาไปหาเสียงได้ง่าย และ
(3) เป็นแนวนโยบายที่แทรกแซงกลไกตลาดในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงขอบเขตหน้าที่ของรัฐ เช่น จำนำข้าวทุกเมล็ด
ทักษิณจึง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพราะไม่ได้ซื้อคะแนนเสียงโดยใช้เงินตัวเองเหมือนนักการเมืองอื่นที่ทำมา หากแต่กระทำยิ่งกว่านั้นคือเอาเงินคนอื่น(ภาษี) มาซื้อเสียงเพื่อให้ตนเองชนะ
คนเคยใกล้ชิดจึงติดนิสัยเอาอย่าง เช่น บำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท เป็นการเอาเงินคนอื่นมาจ่ายบำนาญเพื่อซื้อเสียงจากคนแก่หรือลูกหลานที่อยากผลักภาระไม่อยากเลี้ยงดู
ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วันจึงไม่ใช่นโยบายที่แปลกสำหรับทักษิณเพราะคนออกกฎ(นโยบาย) ไม่ใช่คนจ่ายค่าจ้าง เช่นเดียวกับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท
เพราะเงินที่เอามาจ่ายคือเงินภาษี แต่ตัวเขาและพวกได้ประโยชน์จากการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง
ทักษิณอวดอ้างว่ารู้ดีเรื่องเศรษฐศาสตร์และอะไรอีกหลายศาสตร์ทั้งที่จบเรื่องอาชญวิทยาจากมหาวิทยาลัยบ้านนอก จึงหารู้ไหมว่านายจ้างจะจ้างงานหรือมีอุปสงค์ในการจ้างงานก็เพราะ
ปัจจัย(1) ราคาสินค้าที่คนงานผลิต กับ(2) ประสิทธิภาพ(marginal product) ที่แรงงานนั้นมีอยู่
ดังนั้นที่ลูกสาวมาแก้ตัวในภายหลังว่าทำได้แน่นอนเมื่อเศรษฐกิจดีนั้น ระหว่างราคาสินค้าที่คนงานผลิตหรือประสิทธิภาพความสามารถที่คนงานจะมีมากขึ้นนั้น มันจะเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2 เท่าจากปัจจุบันประมาณ 300 เป็น 600 บาท/วัน ไปได้อย่างไร?
คนงานเคยทำก๋วยเตี๋ยวขายได้วันละ 200 ใบจะเพิ่มเป็น 400 ใบใน 5 ปี(พ.ศ.2570) ไปได้อย่างไร มีมืองอกเพิ่มอีก 2 มือหรืออย่างไร?
หรือ ราคาก๋วยเตี๋ยวที่จะขายสามารถขึ้นราคาจาก 50 บาทเป็น 100 บาทใน 5 ปีได้หรือ?
ถ้าฝืนขึ้นไปโดยที่คนงานยังทำก๋วยเตี๋ยวได้เท่าเดิม แต่ได้เงินค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นในระบบแต่สินค้า/บริการจะมีเท่าเดิม
เงินเฟ้อก็เพิ่มตามมา 2 เท่าเช่นกัน!
สุดท้ายลูกจ้างก็จะบอกว่ามีรายได้วันละ 600 บาทไม่พอกินต้องให้ขึ้นค่าจ้างอีกและเงินเฟ้อก็จะตามมาอีกเป็นงูกินหาง
ไม่รู้ว่านักอาชญวิทยาที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจผูกขาดด้วยอำนาจรัฐอย่างทักษิณจะรู้บ้างหรือไม่เกี่ยวกับ wage-price spiral (ค่าจ้าง-เงินเฟ้อ แบบงูกินหาง) การแก้ปัญหารายได้เขาไม่ทำกันแบบนี้
........
ทักษิณในช่วงแรกจึงเข้ามาสู่การเมืองเพื่อปกป้องกิจการตนเอง ซุกหุ้น ออกภาษีสรรพสามิตเพื่อลดการจ่ายค่าสัมปทานพร้อมกับกีดกันคู่แข่ง แต่เมื่อมีอำนาจก็แสวงหาผลประโยชน์จนต้องโทษในหลายๆคดี เช่น คดีที่ดินรัชดา
นโยบายประชานิยมจึงเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายเข้าสู่อำนาจปกครองและอาศัยอำนาจนี้เพื่อประโยชน์ตนเองเท่านั้น หาใช่เพื่อประโยชน์ประชาชนตามที่อวดอ้าง เช่น นิรโทษกรรมสุดซอยในสมัยนายกฯ ”อีโง่”
ในสมัยลูกครั้งนี้ก็เช่นกัน เอาเงินคนอื่นมาซื้อเสียงเพื่อได้อำนาจการเมือง เป้าหมายที่ไม่ได้บอกก็คือกลับบ้านแบเท่ๆ(ไม่ติดคุก) ถ้าทำแบบนี้แล้วคนไทยในชาติใครจะยอม
ทุกคนจึงต้องเคารพกฎหมายที่ทักษิณออก แต่ทักษิณไม่เคยอายที่จะไม่เคารพกฎหมาย แม้แต่ฉบับเดียวก็ว่าได้
ชวินทร์ ลีนะบรรจง
*****
อ่านบทความนี้แล้ว อย่าสิ้นหวังไปเลย
เพราะถ้าไม่มีเหล่านักรบแห่งธรรมและนักรบแห่งแสง ทักษิณและสมุนคงยึดประเทศนี้แบบถาวรไปแล้ว ...
มันแค่ต้องสู้กันระหว่างพลังความดีความถูกตัอง กับพลังความชั่วเท่านั้นเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ทักษิณ’ ติงสื่อขยายข่าวมากเกินไป! หลัง คุยกับ ‘อันวาร์’
27 ธ.ค. 2557 - ที่อาคารมูลนิธิไทยรัฐ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
'ทักษิณ' ยอมรับแล้ว! ดอดพบ 'อันวาร์' บนเรือยอชต์กลางทะเล
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวสะพัดขึ้นเรือยอชต์จาก จ.ภูเก็ต ไปเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เพื่อพูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม
'สส.ปชน.' จับตา 'ทักษิณ-อันวาร์' พบกันกลางทะเลในที่แปลกๆ น่าสนใจคุยอะไรกัน
นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เกือบจะ 24 ชั่วโมงแล้ว เพจของนายกฯ อันวาร์ยังไม่ได้บอกเล่าเกี่ยวกับการพบปะกลางทะเล
'อดีตบิ๊กศรภ.' ฟันธง! หลัง ม.ค.68 'ทักษิณ' จะคึกคะนองไม่ออก
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ทักษิณ VS. สนธิกับสหายร่วมรบ หลังมกราคม 68 มีเนื้อหาดังนี้
เอาแล้ว 'บิ๊กเนมหลายวงการ' พูดเหมือนกัน รัฐบาลคงอยู่ไม่ครบเทอม น่าจะไม่พ้นปีหน้า
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พูดเหมือนกัน
ผวาหายนะ! บี้ '2พ่อลูกชินวัตร' ทบทวนพฤติกรรม บ้านเมืองไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราข โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ทักษิณ คุณเป็นใคร? หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร