25 พ.ย.2565 - รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กมีรายละเอียดดังนี้
หายนะของการคบเด็กสร้างบ้าน กับ นักการเมืองในระบบธนาธิปไตย(Money Politics) ที่เป็น "ตาอยู่" ตัวจริง
/////
การปฏิวัติร่มที่เปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ของฮ่องกงไปตลอดกาล
บทเรียนจากวิกฤตฮ่องกง ... ถ้ามองจากมุมมองของบทบาทของปัจเจกกับการเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ ผมคิดว่าเราคงต้องมองไปที่การเกิดการปฏิวัติร่มเมื่อ 9 ปี ก่อน ซึ่งตอนนั้นโจชัว หว่องซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติร่มที่โดดเด่นที่สุดเพิ่งมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้นเอง
ถ้ามองย้อนกลับไปจากปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า
อนาคตของฮ่องกงและเส้นทางประวัติศาสตร์ของฮ่องกงได้ตกอยู่ในกำมือของเด็กวัยรุ่นอายุแค่ 17 ปีคนหนึ่งอย่างโจชัว หว่องตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว !!
แผ่นดินฮ่องกงที่เคยรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมาโดยตลอดในช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมา พลันตกอยู่ในชะตาพลิกผันอย่างเหลือเชื่อ
เมื่อคนฮ่องกงส่วนใหญ่ ดันตัดสินใจ "คบเด็กสร้างบ้าน" !!
คือเอาด้วยกับขบวนการปฏิวัติร่มของพวกโจชัว หว่อง ที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเพื่อแยกดินแดนฮ่องกงให้เป็นอิสระจากจีนอย่างถาวร
นี่คือความน่ากลัวของการปลูกฝังความคิดแบบรวมหมู่ ที่จะนำไปสู่การกระทำและการแสดงออกบนท้องถนนอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
แน่นอนว่าความไม่พอใจต่อสภาพความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของพวกเยาวชนในฮ่องกงก็มีส่วนบ่มเพาะความคิดต้องการเป็นอิสระจากจีนของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ฮ่องกงใช้เวลาร่วม 7 ปีเต็ม กว่าที่การแตกหักทางความคิดจนนำไปสู่การก่อกบฏลุกฮือของพวกเยาวชนฮ่องกงจะได้ข้อยุติ รู้ผลแพ้ชนะอย่างถาวรในปัจจุบัน
ชีวิตของเยาวชนฮ่องกงจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกแกนนำอย่างโจชัว หว่อง ได้เปลี่ยนไปอย่างถาวร รวมทั้งเส้นทางประวัติศาสตร์ของฮ่องกงหลังจากนี้ด้วยที่ ...
"น่าจะย่ำแย่ลงไปอีกนานนับสิบปีต่อจากนี้"
ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ... แกนนำบางคนได้เปิดปากยอมรับแล้วว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดแบบที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะก่อนที่จะลุกฮือปฏิวัติร่ม พวกเขายังอยู่ฮ่องกงแบบมีอิสระและมีเสรีภาพมากกว่าตอนนี้มาก !!
เพราะการกระทำของพวกเขาเองต่างหาก ที่ดันไปปลุกยักษ์จีน ให้กลายเป็น Deep State ยิ่งกว่าเดิมมากในการปกครองดูแลเกาะฮ่องกง
......
จากฮ่องกง ขอให้ย้อนไปดูเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไปตลอดกาลของยูเครน
เพราะการที่คนรุ่นใหม่ของยูเครนสนับสนุน "ตัวตลกสายยิว" ให้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ยั่วยุชักนำให้เกิดสงครามยูเครน(นาโต้)กับรัสเซียในปลายเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 จนถึงตอนนี้ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนได้พังพินาศยับเยินหมดแล้ว
.......
จากฮ่องกง ย้อนกลับมาดูเมืองไทยในปัจจุบัน
ในกรณีของเมืองไทย อนาคตของประเทศไทยและเส้นทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ก็เกือบตกอยู่ในกำมือของพวกแกนนำเยาวชนปลดแอก (สามนิ้ว) เหมือนกัน
จุดเปลี่ยนคือ คืนวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ที่ม็อบดันชูเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อขึ้นมาอย่างปราศจากบริบทใดๆทั้งสิ้น
จุดเริ่มต้นทั้งหมดคงต้องย้อนไปที่หลังการรัฐประหารของคสช.ในปี 2557 (ซึ่งเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติร่มที่ฮ่องกงเพียงหนึ่งปี) และการตัดสินใจสร้างพรรคอนาคตใหม่ของธนาธรและปิยบุตรหลังจากนั้น
อนาคตของประเทศไทยและเส้นทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยก็เกือบตกอยู่ในกำมือของธนาธรและปิยบุตรไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน ถ้าพรรคอนาคตใหม่ไม่ถูกยุบพรรค(เพราะพลาดเองในเรื่องข้อกฏหมาย) หลังจากที่เพิ่งได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง
พวกแกนนำเยาวชนปลดแอก(สามนิ้ว) อยู่ในกำมือทางความคิดของธนาธรและปิยบุตรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
การลุกฮือของขบวนการม็อบเยาวชนปลดแอกตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 ที่ชูการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จะว่าไปแล้วก็น่าจะอยู่ในแผนการของธนาธรตั้งแต่แรกเช่นกัน คือแผนการลงไปสู้บนท้องถนน เพราะธนาธรเป็นคนหลุดคำพูดนี้ออกมาเองในช่วงต้นปี 2563
ผ่านไปแค่ปีเศษ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ว่า "ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ" ของแกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก (สามนิ้ว) ที่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 นั้นเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ต้องถือว่าเป็นจุดจบอย่างเป็นทางการของขบวนการสามนิ้ว(ขบวนการล้มล้างสถาบันฯ)ในประเทศไทย
แต่ปัจจัยที่ชี้ขาดจริงๆคือความจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไม่เอาด้วยกับพวกสามนิ้วที่ชูเรื่องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์นั่นเอง
ตรงนี้ต้องถือว่าคนไทยตัดสินใจถูกต้องกว่าคนฮ่องกงที่คิดผิดและตัดสินใจพลาดไปแล้วที่ดันไปสนับสนุนการปฏิวัติร่มเมื่อ 9 ปีก่อน
.......
แต่อนิจจา อนาคตของประเทศไทยและเส้นทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต่อจากนี้ กลับตกอยู่ในกำมือของพวก "ตาอยู่" ตัวจริง หรือพวกนักการเมืองในระบบธนาธิปไตย (Money Politics) อย่างค่อนข้างแน่นอนแล้ว
การแก้รัฐธรรมนูญเรื่องวิธีการเลือกตั้งที่เปลี่ยนจากบัตรใบเดียวกลับไปสู่บัตรสองใบ คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข นั่นคือการเลือกตั้งจากบัตร 1 ใบ ไปเป็นบัตร 2 ใบ ตามมาด้วยการลดจำนวนคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 เหลือ 100
สิ่งที่จะเกิดตามมาในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ปี 2566 ก่อนกลางปีหน้าคือ
1. ต่อไปจะเหลือพรรคการเมืองใหญ่แค่ไม่กี่พรรค การใช้เงินซื้อเสียงจะหนักมาก การเป็นส.ส.จะมีค่าตัวสูง และจะมีการทุ่มใช้เงินจำนวนมากล่อใจ ส.ส.ให้มาอยู่ด้วย (ล่าสุดได้ยินมาว่าค่าตัวสูงขึ้นถึงรายละ 80 ล้านบาทแล้ว)
นี่คือต้นแบบของการเมืองแบบธนาธิปไตย ที่เงินเป็นใหญ่สุดในการเข้าสู่อำนาจรัฐ
2. โอกาสสูงมากที่ได้ส.ส.หน้าเก่าที่มาจากระบบสืบทอดตามวงศ์ตระกูล โดยที่พวกส.ส.หน้าเก่าประจำจังหวัดจะกลับมา
ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าส.ส.หน้าเก่าพวกนี้จะเข้ามาไม่น้อยกว่า 70% เพราะโครงข่ายหัวคะแนนที่เลือกตัวส.ส.จะทำงานได้ผล และเป็นปัจจัยชี้ขาดในการชนะเลือกตั้งส.ส.เขต
3. ระบบมุ้งการเมืองที่แต่ละมุ้งจะดูแล ส.ส.ในสังกัดจะกลับมา มีอำนาจต่อรองสูง สามารถต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีได้หลังจากห่างซาไปนาน จะได้เห็นปรากฏการณ์มุ้งต่างๆย้ายพรรคได้ถ้าไม่พอใจเรื่องตำแหน่ง
4. ระบบการทุจริตจะหนักขึ้น เพราะต้องให้รัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้ามุ้งหาเงิน เพื่อไปดูแล ส.ส.ในสังกัด ชนิดแบ่งกันกิน แบ่งกันโกง อำนาจต่อรองของนายกรัฐมนตรีจะลดลงมาก แต่ถ้านายกรัฐมนตรียอมให้แบ่งกันโกงได้ นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจมากขึ้น
5. เมื่อการเมืองแบบธนาธิปไตยกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง อำนาจต่อรองของประชาชนจะลดลงไปไปมาก เพราะระบบการลงคะแนนได้เปลี่ยนจากทุกคะแนนเสียงมีความหมาย เปลี่ยนมาสู่คะแนนของผู้ชนะเท่านั้น โดยที่คะแนนผู้แพ้ถูกตีตกทิ้งน้ำ
6. ภายใต้การเมืองแบบธนาธิปไตยเช่นนี้นายทุนสามานย์ นายทุนผูกขาด และนายทุนสัมปทานย่อมพร้อมที่จะลงทุนทางการเมืองอย่างเต็มที่ เพราะได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แน่นอน การทุจริตเชิงนโยบายจะเบ่งบานขึ้น
7. สุดท้ายการเมืองไทยจะวนเวียนกลับไปสู่อดีตเป็นวงจรอุบาทว์
อันที่จริงระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวเหมาะกับสภาพการเมืองไทยมากกว่า เพราะอย่างน้อยสามารถปราบโกงได้ แต่บัตรเลือกสองใบต้องพึ่งเงินทุน และต้องง้อกับหงอพวกส.ส.หนักมาก
สุดท้ายแล้ว กลุ่ม 3 ป.ที่เคยฉวยโอกาสทำการรัฐประหารในปี 2557 ขึ้นมาเป็นใหญ่ปกครองประเทศไทยยาวนานถึงแปดปี ก็ต้องยอมสยบให้พวกนักการเมืองในระบบธนาธิปไตย (Money Politics) อยู่ดี
ถึงแม้ลุงตู่จะได้กลับมาเป็นนายกฯอีกสองปีในการเลือกตั้งใหญ่ข้างหน้า แต่ "ตาอยู่" ตัวจริงคือพวกนักการเมืองในระบอบธนาธิปไตยต่างหาก
ดังนั้น พรรคการเมืองไหนและผู้นำคนไหนที่ชูนโยบาย "ปฏิรูปตำรวจ" เป็น Political Will (เจตจำนงมุ่งมั่นทางการเมือง) ของพรรคและของผู้นำคนนั้น
พรรคนั้นแหละและผู้นำคนนั้นแหละคือ ความหวังที่แท้จริงของประเทศนี้
มีแต่รัฐบุรุษเท่านั้นที่จะสามารถปฏิรูปตำรวจไทยได้
ขอให้ลุงตู่จงเลือกเดินเส้นทางรัฐบุรุษให้สุดทางเถิด
และขอให้พรรครวมไทยสร้างชาติจงเป็นพรรคของเหล่ารัฐบุรุษมาชุมนุมกันด้วยเทอญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'สุวินัย' ลากไส้รัฐบาลถังแตก รีดภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% เพื่อปรนเปรอนโยบายประชานิยม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ "ทำไมต้องเก็บภาษี VAT เป็น 15%?" ระบุว่า เพราะคนประเทศนี้มีแนวคิดที่ประหลาดพิกลมากยังไงเล่า
'พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์2024' อีกหน้าประวัติศาสตร์ 'โมโตจีพี'ในไทยที่ต้องจารึกไว้
ปิดฉากลงอย่างสุดประทับใจ ทั้งความยิ่งใหญ่อลังการ ธีมเสน่ห์อีสาน “ฅนบุรีรัมย์” รวมทั้ง “หมูเด้ง”ที่มาสร้างไวรัลไปทั่วโลก เติมเต็มสุดสัปดาห์แห่งความมันส์ของสุดยอดศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกับการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี รายการ "พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ 2024" ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2024 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ นี่คืออีกหนึ่งความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศในการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยจัดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย
'สามนิ้ว' โวยซื้อน้ำขวดในคุกไม่ได้ ต้องกินน้ำก๊อกมาเป็นอาทิตย์แล้ว
เพจ อานนท์ นำภา ของนายอานนท์ นำภา ต้องโทษม.112 ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ไม่แน่ใจว่าทำไมช่วงนี้
'ไมค์3นิ้ว' แนะหยุดเพื่อหายใจและมองดูว่าคุณมาไกลแค่ไหนแล้ว
ไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก จำเลยคดี ม.112 ลี้ภัยในต่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊กว่า บางครั้งการวิ่งตามอนาคต ความฝัน ความรัก และค
'สุวินัย' เขียนข้อความแลกเปลี่ยนกับ ว. วชิรเมธี
ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า แลกเปลี่ยนกับ ท่าน ว. วชิรเมธี เรื่องความรู้ทางจิตของอัจฉริยะแห่งจิตกับขอบเขตของจิตใจทั้งหมด (full spectrum of the mind)
นักวิชาการ ฝากถึง ว.วชิรเมธี ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟลน มารไม่มี บารมีไม่เกิด
อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่บทความ เรื่อง "ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟลน" มีเนื้อหาดังนี้