7 พ.ย. 2565 – รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า แทคติกหนึ่งของขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ คือพยายามทำให้ความศรัทธาและความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมลงเรื่อยๆ มีโอกาสเมื่อใดเป็นต้องทำเมื่อนั้น `
เมื่อเร็วๆ นี้ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.พรรคก้าวไกล คุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ได้อภิปรายในสภาไปในทำนองกล่าวหาศาลว่าถูกแทรกแซงในคดีการเมืองและคดี 112 โดยยกตัวอย่างนายอานนท์ นำภา ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญมาตรา 112 ว่า นายอานนท์ พยายามขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานเพื่อให้ตนเองนำมาต่อสู้คดี แต่ศาลไม่ยอมออกหมายเรียกให้ เช่น หลักฐานการเดินทางเข้าออกไทยเยอรมันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 คำพิพากษาแพ่งยึดทรัพย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เอกสารการใช้เงินของสถาบันกษัตริย์ หลักฐานการโอนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์
ซึ่งท่านประธานชวน หลีกภัย ต้องพยายามเบรกไว้โดยกล่าวว่า “สภาฯกำลังปรึกษาหารือเรื่องประโยชน์ของประชาชน อย่าไปไกลถึงสถาบันเลยครับ”
คุณอมรัตน์แทนที่จะฟังประธานกลับเถียงว่า ” เรื่องนี้แหละค่ะที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนมากที่สุด และเป็นเรื่องที่ท่านประธานไม่กล้าพูด……”
หลังจากนั้นยังประท้วงท่านประธานชวน แต่ด้วยความเด็ดขาดแต่นุ่มนวลของคุณชวน จึงทำให้เรื่องนี้ยุติลงได้ แต่ก็ต้องถือว่า คุณอมรัตน์ได้ทำสำเร็จตามจุดประสงค์แล้ว
ที่คุณอมรัตน์ที่ทำเช่นนี้ ไม่ได้ต้องการช่วยนายอานนท์ นำภา แต่อย่างใด แต่ต้องการใช้โอกาสนี้กล่าวหาว่าศาลถูกแทรกแซงโดยสถาบัน เพราะคุณอมรัตน์น่าจะทราบอยู่แล้วว่า ไม่มีทางที่ศาลจะยอมออกหมายเรียกให้นายอานนท์ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขององค์พระมหากษัตริย์ แต่ยังคงนำเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาเพื่อต้องการกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันตุลาการ เพื่อออกอากาศให้คนฟังให้มากที่สุด สังเกตว่า คุณอมรัตน์ได้โพสต์ใน social media ก่อนการประชุมว่า จะพูดเรื่องนี้ในสภา
อย่างไรก็ตามการกระทำของคุณอมรัตน์ครั้งนี้ ก็เป็นการฟ้องให้คนทั่วไปได้ทราบว่า นายอานนท์ นำภา เมื่อพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์จนต้องคดีตามมาตรา 112 เป็นการพูดที่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย เพราะหากพูดโดยมีหลักฐาน เหตุใดจึงต้องขอให้ศาลออกหมายเรียกขอหลักฐานให้อีก
ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จะยังคงดำเนินต่อไป เขาจะทำในทุกโอกาสที่ทำได้ แม้แต่วัน halloween ก็ยังไม่เว้น เนื่องจากเขารู้ว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่กล้าใช้ความเด็ดขาดกับพวกเขา ทำได้เพียงแค่ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เท่านั้น หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักข่าวหลายสำนักคงถูกปิด คนคงถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงกันเป็นร้อยๆ แต่โชคดีของพวกเขาที่ประเทศนี้คือประเทศไทย
ปัจจุบันขบวนการนี้คงเห็นว่าการกดดันให้ยกเลิกมาตรา 112 คงยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จึงเริ่มใหม่ด้วยการขอแก้ไขให้โทษเบาลง ดังที่คุณไอติมออกมาอธิบายด้วยความภูมิใจ โดยอ้างเหตุผลเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก และเรื่องสิทธิมนุษยชน ว่าจะเสนอแก้ไขให้กำหนดโทษลดลงจากจำคุก 3 ถึง 15 ปี เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท และเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมือง จึงเสนอให้สำนักพระราชวังเป็นหน่วยงานเดียวที่มีสิทธิแจังความดำเนินคดี จากเดิมที่ใครก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้
เรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง ควรทราบว่า ตำรวจเขาพยายามทำคดีด้วยความระมัดระวัง เพราะเขากลัวถูกฟ้องกลับ อีกทั้งยังมีอัยการคอยกรองอีกชั้นหนึ่ง เท่าที่เห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน มีเพียงคดีที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกแจ้งความดำเนินคดีโดยฝ่ายตรงข้ามคือฝ่ายเสื้อแดง เมื่อคุณสนธินำเสียงของ ดา ตอร์ปิโด ซึ่งเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง มาเปิดให้ผู้ร่วมชุมนุมฟัง ซึ่งคุณสนธิก็ชนะคดีในชั้นศาล เพราะศาลมองที่เจตนา
คดี 112 อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาแทบทั้งหมดที่กำลังถูกดำเนินคดี เกือบเรียกได้ว่า หากไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม 112 อย่างชัดแจ้ง ก็ก้ำกึ่งจนน่าหวาดเสียวทั้งสิ้น
ประเด็นเรื่องระวางโทษ เราลองกลับมาดูข้อกฎหมาย หรือข้อความที่อยู่ในมาตรา 112 กันอีกครั้ง มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี “
ในขณะที่มาตรา 326 ซึ่งเป็นกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับคนทั่วไป กำหนดระวางโทษไว้ไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
พรรคก้าวไกลต้องการให้กำหนดระวางโทษการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เท่ากับบุคคลธรรมดาคือไม่เกิน 1 ปี หรือหากแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีเช่นกัน
ต้องขอใข้ประโยคที่คุณอมรัตน์ใช้ในสภาว่า
“อย่างนี้ก็ได้ด้วยหรือ”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ทักษิณ-พท.' อย่าเพิ่งตีปีก! ชั้น 14 ป.ป.ช. ใกล้งวด คดีครอบงำยิ่งชัด รอ กกต. เคาะ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หน้าแตกกันไปตามๆ กัน เมื่อได้ทราบผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่รับวินิจฉัยคำร้อง
'พิธา' เผยไม่ได้เห็นต่าง 'ทักษิณ' เรื่องเปลี่ยนโครงสร้าง เหน็บอย่ามัวแต่พูด ถึงเวลาต้องทำแล้ว
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวระหว่างลงพื้นที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร
'เพื่อไทย' ไม่ฟังเสียงต้าน! ดันทุรังเข็น 'กิตติรัตน์' นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า รัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
ชทพ.หนุนนิรโทษกรรมแต่ต้องไร้ ม.110-ม.112
'ชาติไทยพัฒนา' หนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่ต้องเว้น ม.110 และ 112 เชื่อก้าวข้ามความขัดแย้งได้
'เทพไท' ซัดพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์เรื่องนิรโทษกรรม
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช
'เพื่อไทย' แถบอกรายงานนิรโทษกรรมแค่การศึกษาหากแก้ 112 จริงไม่ยอมแน่
'พท.' จ่อเห็นชอบรายงาน-ข้อสังเกตนิรโทษกรรม บอก แต่ละพรรคโหวตอย่างไร เป็นเอกสิทธิ์ ด้าน 'นพดล' ย้ำ ไม่มีความคิดนิรโทษความผิดม.110 และ 112