ควรจบเสียที! เผยเหตุ ราชวงศ์ไทยส่ง 'ตัวแทนพระองค์' ร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพควีนเอลิซาเบธที่ 2

'พล.ท.นันทเดช'เผย งานพระราชพิธีพระบรมศพควีนเอลิซาเบธที่ 2 มีมาตราการรปภ.อย่างเข็มงวดมากกว่าทุกงาน มีข้อจำกัดการเดินทางเข้าร่วมของประมุขประเทศต่างๆ ราชวงศ์ไทยจึงส่ง'ตัวแทนพระองค์' ไปแทน เพื่อลดภาระของเจ้าภาพ

23 ก.ย.2565 - พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาดังนี้

'เรื่องนี้ควรจบเสียที'

การทำงานของรัฐบาลอังกฤษ ตามแผนการปฏิบัติต่างๆ ในงานพระราชพิธีพระบรมศพของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งรัฐบาลอังกฤษในฐานะผู้ดำเนินงานหลักนั้น ได้รับความกดดันอย่างหนักจากหลายฝ่าย เนื่องมาจากมีการกำหนดมาตราการ รปภ. อย่างเข็มงวดมากกว่าทุกงาน ที่เคยจัดขึ้นมาในกรุงลอนดอน และยังมีการนำปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น

1. การห้ามบางประเทศไม่ให้เข้าร่วมพระราชพิธีเนื่องจากสาเหตุทาง การเมืองระหว่างประเทศ

2. ข้อจำกัดการเดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีของประมุขประเทศต่างๆ เช่น การห้ามเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว (ยกเว้นประเทศที่ได้รับอนุญาต) เพราะจะทำให้การจราจรทางอากาศคับคั่งมากถ้าประมุขทุกประเทศใช้ เครื่องบินส่วนตัวเหมือนกันหมด พร้อมกับห้ามใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางเข้าร่วมพระราชพิธี โดยให้นำรถส่วนตัวไปจอด
ไว้ที่โรงพยาบาลหลวงเชลซี จากนั้นใช้รถบัสรวมเดินทางมาที่บริเวณพระราชพิธีร่วมกัน เพื่อการ รปภ.จะทำได้ง่ายขึ้น

ข้อจำกัดเหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นข้อห้ามที่จำเป็น เพราะ

(1) อังกฤษเป็นประเทศที่เป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากสหรัฐฯ แม้กรุงลอนดอนจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่ปลอดภัยที่สุดเพราะมีกล้องวงจรปิดชนิดระบุอัตลักษณ์ได้จำนวนมาก เปรียบเทียบว่า “ถ้าเดินอยู่ในลอนดอน ไปตรงไหนก็จะมีกล้องวงจรปิดจับอยู่ที่ตัวเราในมุมต่างๆ อย่างน้อย 5 กล้องขึ้นไป” แต่ระบบ รปภ.ดังกล่าวก็มีขีดจำกัดในเรื่องการรองรับปริมาณคนเช่นกัน จึงอาจไม่สามารถจะดูแล VVIP และคณะผู้ติดตามซึ่งมีจำนวนมากได้อย่างครบถ้วน

(2) พื้นที่จัดงานมีขนาดจำกัดไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ที่เข้าร่วมงาน ประกอบกับทางรัฐบาลอังกฤษก็ไม่สามารถจะควบคุมประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบสถานที่จัดงานได้ทุกคน ซึ่งคาดว่าจะมีพสกนิกรเข้าร่วมงานประมาณ 350,000 คนขึ้นไป

(3) กำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมพื้นที่ไม่เพียงพอการออกข้อบังคับดังกล่าวนั้น รัฐบาลอังกฤษน่าจะพิจารณาจากบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมงาน โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มเครือข่ายสมาชิกราชวงศ์ในประเทศทางยุโรป (พระญาติ)

2. กลุ่มประมุขประเทศที่อยู่ในเครือจักรภพ (Commonwealth of Nations) ที่มีรัฐเอกราช 56 ชาติ (โดยในจำนวนนี้ 14 ประเทศมีกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของรัฐ)

3. กลุ่มประมุขของประเทศในยุโรป

อนึ่ง ประเทศทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่ประมุขของประเทศสามารถเดินทางไปได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้เครื่องบิน ยกเว้นแต่ประเทศในเครือจักรภพที่ห่างไกล เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ศรีลังกา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องบิน แต่ประเทศในกลุ่มนี้มีความผูกพันกับสหราชอาณาจักรมากกว่าปกติจึงน่าจะได้รับการผ่อนปรน เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่สามารถนำเครื่องบินส่วนตัวมาได้ ส่วนประเทศยุโรปอื่นๆที่ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็สามารถเดินทางเข้าสู่กรุงลอนดอนได้ง่ายทั้งทางรถยนต์ และทางรถไฟ

4. ประเทศอื่นๆ นอกจาก 3 กลุ่มที่กล่าวมาแล้ว รัฐบาลอังกฤษทราบดีถึงความลำบากในการเดินทาง จึงระบุให้สามารถส่งตัวแทนประมุขของประเทศเข้าร่วมพระราชพิธีได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะข้อจำกัดในการ รปภ.บุคคลสำคัญของอังกฤษตามที่กล่าวมาแล้ว

อนึ่ง ขอย้ำว่า การ รปภ.ครั้งนี้ ของรัฐบาลอังกฤษ ได้มีการดำเนินงานอย่างจริงจังมากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ ตำรวจทั่วประเทศถูกระดมมาอยู่ที่กรุงลอนดอนเกือบทั้งหมด รวมทั้งทีมงานข่าวกรองด้วย การวางกำลังชุดเฉพาะกิจ หน่วยสไนเปอร์ รวมทั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศ (SAS) ซึ่งได้เข้ามาปฏิบัติการ ในกรุงลอนดอนเป็นครั้งแรก เพื่อป้องกันเหตุการร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกห้วงเวลาประเทศไทยนั้นได้รับจดหมายเชิญประมุขของประเทศเข้าร่วมด้วย แต่เนื่องจาก รัฐบาลอังกฤษมีคำแนะนำอย่างจริงจัง (Strongly advice) ว่า “ขอไม่ให้เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว” และขอให้ขึ้นรถรวม Shuttle Bus เข้างาน แทนรถยนต์ส่วนตัว

แน่นอนว่าคำแนะนำดังกล่าวย่อมทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเดินทางของประมุขหลายสิบประเทศที่ไม่ได้อยู่ในทวีปยุโรป จึงเลือกใช้วิธี ส่งตัวแทนไปร่วมงานแทน

ดังนั้นราชวงศ์ไทยซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับราชวงศ์อังกฤษ (ไม่ใช่รัฐบาลอังกฤษ) ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้ว จึงส่ง”ตัวแทนพระองค์”ไปแทน เพื่อลดภาระในการดูแลและการรักษาความปลอดภัยของเจ้าภาพ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษและราชวงศ์อังกฤษคงเข้าใจได้เป็นอย่างดี

ส่วนกรณีที่รัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้สิทธิพิเศษแก่สหรัฐฯ ในการนำเครื่องบินส่วนตัวมาเองพร้อมด้วยทีมคุ้มกันและไม่ต้องขึ้นรถบัสรวมนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิดปกติอย่างไร เพราะสหรัฐฯ คือศัตรูลำดับ 1 ของ กลุ่มผู้ก่อการร้ายและอีกหลายสิบกลุ่ม จึงจำเป็นต้องขอรับสิทธิพิเศษเป็นปกติอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามต้องคำนึงว่างานพระราชพิธีครั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษเป็น แม่งานหลักในการจัดงานไม่ใช่สำนักพระราชวังอังกฤษ จึงมีการนำเรื่อง ทางการเมืองและความเป็นพันธมิตรในกลุ่มนาโต้เข้ามาร่วมพิจารณาประกอบด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาดแต่อย่างใดเมื่อการแบ่งขั้วอำนาจของโลกในปัจจุบันนี้มีลักษณะที่เกิดขึ้นซึ่งเห็นและรับทราบกันทั่วไปอย่างชัดเจน

เรื่องนี้จึงควรยุติลงได้แล้ว เพราะถ้าพูดกันไปพูดกันมา รัฐบาลอังกฤษก็ยิ่งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบมากขึ้นโดยเฉพาะในประเด็นที่ไม่สามารถจะให้ความเท่าเทียมแก่ประมุขของประเทศต่างๆ ได้ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ประชาชนทั้งสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ในความโศรกเศร้าเช่นนี้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อุ้ย! อดีตบิ๊กศรภ. บอกแบ่งงบซอฟต์พาวเวอร์แจก ’หมูเด้ง’ บ้าง จะได้มีผลงาน

อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ แนะนำเงิน Soft power จำนวนมหึมา ของนายก อุ๊งอิ๊ง นั้นควรแบ่งมาแจกให้ 'น้องหมูเด้ง'

'นายกฯอิ๊งค์' อยู่ได้เกิน 6 เดือนไหม! ขึ้นอยู่กับ 2 ทางรอด

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อุ๊งอิ๊งจะอยู่เกิน 6 เดือนไหม

'อดีตบิ๊กศรภ.' ชำแหละ 9 ข้อต่อสู้ 'ก้าวไกล' ดูเสมือนจะยอมรับว่าก้าวต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ก้าวไกล ดูเสมือนจะยอมรับว่าก้าวต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว มีเนื้อหาดังนี้

‘อดีตบิ๊กศรภ.’ ชี้กลยุทธ์’ซุนวู’ กำลังจู่โจม ‘เศรษฐา-ทักษิณ’ เสียขบวน

ตำราพิชัยสงครามของซุนวู มีการนำมาสอนกันใน ร.ร.เสนาธิการทหารของทุกเหล่าทัพ และยังใช้กันอย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจ ปัจจุบันทางการเมืองก็นำมาประยุกต์ใช้เช่นกัน