ย้ำ 1 ตุลาคมเดินหน้าแผนพัฒนาฯ ฉบับลักกี้นัมเบอร์

รัฐบาลดันแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ยันดีเดย์ 1 ต.ค.2565 เป็นต้นไป แปลงยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ วางเป้าใหญ่เสริมแกร่งประเทศรับการเปลี่ยนแปลงบริบทโลกใหม่

31 ส.ค.2565 - น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 2 ที่แปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติและกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปี ข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2566-2570 ขณะนี้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่13 ได้ผ่านการรับทราบของรัฐสภาแล้ว โดยที่ประชุมวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 16 ส.ค.2565 และ 25 ส.ค.2565 ตามลำดับ นอกจากนี้ ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2565 ได้รับทราบร่างแผนพัฒนาฯ ที่ได้มีการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งไม่ได้แก้ไขในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่รัฐสภาได้รับทราบไปแล้ว เช่น การปรับปรุงเนื้อความให้มีความถูกต้อง การจัดเรียงลำดับของเนื้อหาของแผนฯ การปรับปรุงตัวชี้วัด ค่าเป้าหมายย่อย และสถานการณ์ให้เป็นปัจจุบัน สอดคล้องกันระหว่างหมุดหมาย และสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ซาติ เป็นต้น

“หลังจากนี้จะเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือ นายกฯ นำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่13 ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศให้ใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 เป็นต้นไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เริ่มมีผลบังคับ จะเป็นแผนระดับชาติที่รัฐบาลยึดเป็นกรอบการผลักดันการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า มีเป้าหมายหลัก 5 ประการ ได้แก่ 1.ปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม 2.พัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ 3.มุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม 4.เปลี่ยนผ่านการผลิตและบริโภคไปสู่ความยั่งยืน และ 5.เสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทโลกใหม่ มีตัวชี้วัดความสำเร็จของแผนที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ประชาชาติต่อหัวเท่ากับ 9,300 ดอลลาร์หรือประมาณ 300,000 บาท จากปี 2564 ที่ 7,097 ดอลลาร์หรือประมาณ 227,000 บาท, ดัชนีความก้าวหน้าของคนอยู่ในระดับสูง เท่ากับ 0.7209 จากปี 2563 อยู่ที่ 0.6501

นอกจากนี้ ความแตกต่างของความเป็นอยู่หรือรายจ่าย ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุด 10% และต่ำสุด 40% มีค่าต่ำกว่า 5 เท่า จากปี 2562 มีค่าเท่ากับ 5.66 เท่า, ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมลดลงไม่น้อยกว่า 20% และดัชนีรวมสะท้อนความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงมีค่าไม่ต่ำกว่า 100

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลชวนปชช. จอง-แลกเหรียญเฉลิมพระเกียรติ 'ในหลวง' เริ่ม 24 ก.ค.

รัฐบาลเชิญชวนประชาชน จอง-แลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ 'ในหลวง' เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ตั้งแต่ 24 ก.ค.นี้

'คารม' แจงยิบยัน 'กยศ.' คิดดอกเบี้ยอัตรา 1%

'คารม' ย้ำ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาคิดดอกเบี้ยอัตรา 1% ตั้งแต่เริ่มกู้จนชำระเสร็จสิ้น ไม่มีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ขอให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้ตามจำนวนที่แจ้งในหน้าแอปพลิเคชัน กยศ.Connect

'เกณิกา' ตีปี๊บฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดคืนสังคมกว่า 5 หมื่นราย

'เกณิกา' เผยข้อมูลติดตามผู้ป่วยบำบัดยาเสพติด ไม่เสพซ้ำกว่า 5 หมื่นคน ตามนโยบายรัฐบาลเศรษฐา 'ปราบปราม รักษา ฟื้นฟู ดูแล' ให้โอกาสผู้เสพคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ