ศาลยกฟ้อง 'เสธ.หยอย' สะสมคลังแสงไว้ถล่ม กปปส.

ศาลอาญายกฟ้อง 'พล.ท.มนัส เปาริก' ไม่ผิดคดีถูกกล่าวหาครอบครองอาวุธสงครามไว้ถล่ม กปปส. เหตุไร้หลักฐานมัดชัด มีแค่คำซัดทอดของผู้ต้องหาอื่น

10 ส.ค.2565 - ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีมีอาวุธปืนสงคราม และวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองฯ ในคดีหมายเลขดำ อ.1581/2563 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา10 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ท.มนัส เปาริก หรือ เสธ.หยอย อายุ 73 ปี อดีตรองแม่ทัพภาค 3 และนายวัฒนา หรือศิวะ ทรัพย์วิเชียร อายุ 59 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร มีอาวุธปืนสงคราม วัตถุระเบิด เครื่องยุทธภัณฑ์และฯลฯ ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ครอบครองโดยผิดกฎหมายได้

อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ธ.ค.2556 - 24 พ.ย.2560 ต่อเนื่องกันจำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันเป็น อั้งยี่ ซ่องโจร สมาชิกของคณะบุคคลที่รวมตัวกันเป็นองค์กรลับมีแนวคิดทางการเมืองตรงกันข้ามกับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. มุ่งหมายต่อต้าน ขัดขวางการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยใช้อาวุธสงครามประทุษร้ายให้เกิดความเกรงกลัว โดยมีนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ยังหลบหนีให้การสนับสนุนด้านการเงิน ซึ่งอาวุธสงครามประกอบด้วย ปืนเล็กกล (AKM) RUSSIAN 2 กระบอก เครื่องกระสุน1,750 นัด กระสุนปืนเล็กกล M 16 จำนวน 442 นัด กระสุนซ้อมยิง 226 นัด พร้อมซองกระสุน ลูกระเบิดขว้างแบบ RDG -5 จำนวน 30 ลูก กระเดื่องระเบิดแบบ RDG -5 จำนวน 30 อัน ลูกระเบิดยิงชนิดหัวระเบิด ขนาด 40 มม. 50 ลูก แท่งดินระเบิดTNT ขนาดครึ่งปอนด์ 1 แท่ง ดินระเบิดซีโฟร์ขนาด 1/4 ปอนด์ 4 ก้อนฯลฯ ให้จำเลยกับพวกนำไปแจกจ่ายให้สมาชิกใช้ก่อเหตุ ตามที่ได้ประชุม วางแผนไว้

เหตุเกิดที่แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง เขตลาดพร้าว เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ อ.วังน้อยจ.พระนครศรีอยุธยา และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตรวจยึดเป็นของกลาง และได้ตัวจำเลยทั้งสองดำเนินคดี
ชั้นสอบสวนและชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัว โดยวันนี้ พล.ท.มนัส และนายวัฒนาเดินทางมาฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปีน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีพนักงานสอบสวน สภ.ฉิมพลี เป็นพยานเบิกความว่าขณะปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวน สภ.ฉิมพลี ได้รับแจ้ง ว่าพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด ที่บริเวณที่นา หมู่ที่ 15 ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา จึงเดินทางไปที่เกิดเหตุเป็นบ่อน้ำแห้ง พบลังไม้ 1 ลัง ฝาลังเปิดอยู่ ภายในลังไม่มีลูกระเบิด เป็นลูกกลมๆ จำนวนหลายลูก กระเป๋าเป้ทหารสีเขียว 1 ใบ และกระสุนปืน
หลายนัดฝังอยู่ที่โคลนในบ่อน้ำ และอาวุธสงครามเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ทราบว่าอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดดังกล่าวเป็นของบุคคลใด และมาอยู่ในที่นาดังกล่าวได้อย่างไร แต่สันนิษฐานว่าช่วงหน้าฝนประมาณ 3-4 เดือน น่าจะมีการนำของกลางมาทิ้งไว้ โดยส่งอาวุธปืนสงคราม และเครื่องกระสุนปืนไปตรวจพิสูจน์ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน จ.ชลบุรี ส่วนวัตถุระเบิดส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กรมสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตรวจลายนิ้วมือแฝง และสารพันธุกรรม ซึ่งส่งไปตรวจพิสูจน์แต่ไม่พบสารพันธุกรรม ฝ่ายสืบสวนสอบสวน
ของ สภ.ฉิมพลีและกองบังคับการตำรวจภูธรฉะเชิงเทราได้ทำการสืบสวน แต่ไม่ทราบว่า ของกลางดังกล่าวเป็นของบุคคลใด จึงส่งสำนวนกรสอบสวนต่อให้กองบังคับการปราบปราม

ขณะที่พนักงานสอบสวน สภ.ลาดบัวหลวง และ สภ.วังน้อย เบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.2557 ได้เป็นพนักงานสอบสวนคดีที่จำเลยที่ 2 ถูกจับกุมเกี่ยวกับอาวุธสงครามที่ตรวจยึดได้ที่จำเลยที่ 2นำไปทิ้งไว้ในคลองข้างบ้าน อ.ลาดบัวหลวง และที่อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งคดีดังกล่าวจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า อาวุธสงครามดังกล่าวนายสมเจตน์นำมาฝากไว้หลายครั้ง ตามบันทึกคำให้การนายวัฒนาก็ไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามของกลางในคดีนี้ และได้ทราบข้อเท็จจริงมาจากคำให้การของนายสมเจตน์ที่รวบรวมไว้ในสำนวน
แม้ พล.ต.ต.กำธร อุ่ยเจริญ ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ มีหน้าที่ในการควบคุมกลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิด รวบรวมพิสูจน์อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้ร่วมตรวจที่เกิดเหตุ ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา และเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ลูกระเบิด อาร์จีดี-5 ชุดเรือนชนวน และลูกระเบิดยิงขนาด4 มิลลิเมตร พบว่าของกลางทั้ง 3 รายการดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับคดีอื่น โดยตรวจจากการดูหมายเลขลำดับที่ผลิต (ล็อตนัมเบอร์) และวันเดือนปี ที่ผลิตที่ปรากฏอยู่ที่ตัวของกลาง และลูกระเบิดขว้างสังหารอาร์จีดี-5 มีหมายเลขเหมือนกันกับคดีอื่น และตรงกับเอกสารที่พยานเคยจัดทำไว้ในคดีอื่นๆ และมีความสัมพันธ์กับคดีอื่นๆ อีก 16 คดี รวมทั้งเกี่ยวข้องพื้นที่ สภ.ลาดบัวหลวง หมายเลขกระเดื่องและลูกระเบิดมีหมายเลขตรงกันกับของกลางที่ตรวจยึดได้ที่ ต.ดอนฉิมพลี

พยานหลักฐานโจทก์มีเพียงสำนวนการสอบสวนพยานบุคคลและอาวุธสงครามของกลางในคดีนี้ และในคดีอื่นเปรียบเทียบกันเท่านั้น และมีคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมเจตน์ในคดีที่ตรวจยึด อาวุธสงครามที่ อ.ลาดบัวหลวงและอ.วังน้อย ที่ให้การชัดทอดถึงจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การถึง รวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐาน แต่คำให้การดังกล่าวนายสมเจตน์ให้การในฐานะผู้ต้องหา จึงเป็นคำให้การชัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง หรือประกอบพยานหลักฐานอื่น

เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีเพียงอาวุธสงครามของกลาง เป็นการเปรียบเทียบกับของกลางในคดีอื่นที่ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่นๆ เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิด ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/2 ประกอบกับจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธและนำสืบว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามคดีนี้มาโดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังและไม่อาจบ่งชี้ได้ว่าอาวุธสงครามของกลางเป็นของจำเลยทั้งสอง จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

ส่วนประเด็นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดเป็นอั้งยี่หรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นขณะจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดอย่างไร อีกทั้งพยานหลักฐานโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 มีแต่เพียงนายสมเจตน์ที่หลบหนี ไม่ได้นำตัวมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ แม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผู้ชุมนุม กปปส.ขณะเดินอยู่ตามท้องถนนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายที่เป็นผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีหรือสอบปากคำถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น สำพังข้ออ้างที่โจทก์นำสืบยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกคณะบุคคลที่รวมตัวเป็นองค์กรลับปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกฟ้องและให้ริบอาวุธสงความของกลาง

ภายหลังนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ พล.ท.มนัสกล่าวว่า วันนี้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาเราต่อสู้คดีว่าเราไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง โดยในการตั้งข้อหาของเจ้าหน้าที่เป็นเพียงการนำคำซัดทอดของผู้ต้องหารายอื่นที่ว่าอาวุธมีลักษณะคล้ายกันซึ่งยังรับฟังไม่ได้ ส่วนเรื่องอั้งยี่ซ่องโจรศาลก็ยกฟ้อง เพราะจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้อง โดย พล.ท.มนัส โดนคดีทั้งหมด 2 คดีคดีแรกเป็นคดีที่อำเภอวังน้อยจังหวัดอยุธยาโอนมาจากศาลทหาร มายังศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ยกฟ้องและสิ้นสุดไปแล้ว ส่วนคดีนี้ก็ต้องดูว่าพนักงานอัยการจะยื่นอุทธรณ์อีกหรือไม่

ด้าน พล.ท.มนัสกล่าวว่า คสช.ร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีนี้เป็นเวลารวมทั้งหมด 8 ปี โดยที่ศาลเองก็บอกไม่มีหลักฐานมีเพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาคดีอื่น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'แม่เสี่ยโป้' คอตกนอนคุก คดีเว็บพนัน-ฟอกเงิน หลังหลบหนีนานกว่า 3 ปี

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน กก.1 กองบังคับการปราบปราม คุมตัว น.ส.บานเย็น ชาญนรา อายุ 51 ปี มารดาของนายเสี่ยโป้ อานนท์ เป็นผู้ต้องตามหมายจับศาลอาญา คดี “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น

เอาแล้ว! ศาลฯ รับคดีไว้ไต่สวน หลัง 'วีระ' ฟ้อง ป.ป.ช.ไม่เผยสำนวนนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม

นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำเร็จไปอีกขั้น วันนี้ศาลอาญาคดีทุจริตแ

'บอสพอล' คอตกนอนคุก! ศาลไฟเขียวฝากขัง ส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

‘บอสพอล’ คอตกนอนคุก หลังศาลอนุญาตฝากขังครั้งเเรก ให้การปฏิเสธทุกข้อหา เจ้าตัวยังไม่ยื่นประกัน เจ้าหน้าที่ส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

หยาม 'ธนาธร' ไม่กล้าดีเบต คนเห็นต่าง ถนัดแต่ดีเบตคนเดียวตามรร.มัธยมให้เด็กฟัง

วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ธนาธร บอกว่า"ไปดีเบตไม่ได้ครับผม มีเงื่อนไขบางประการที่ไม่สามารถบอกได้"