เลขา ครป. ชี้ 3 แกนของนายกฯ เป็นต้นเหตุความเหลื่อมล้ำและความยากจนของคนไทยทั้งประเทศ เพราะบริหารแบบทุนนิยมเผด็จการ หยุดสร้างหนี้และหลอกขายฝันประชาชน
10 ก.ค.2565 – นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอ 3 แกนแก้ปัญหาความยากจนในประเทศไทยว่า ตนเองเห็นว่าความคิดของประยุทธ์ เพ้อเจ้อ หลอกขายฝันประชาชนไปวันๆ ทั้งๆ ที่ 8 ปีที่ผ่านมา ประยุทธ์ เป็นแก่นแกนแห่งความยากจนของคนไทยทั้งประเทศ ถามว่าวันนี้นายกฯ ไปกู้เงินมากี่ล้านล้านบาทแล้ว ทำไมประชาชนไทยยังจน
นายเมธา กล่าวต่อว่า นโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้ช่องว่างการกระจายรายได้ระหว่างคนจน-คนรวยแย่ที่สุดในโลก 3 แกนการพัฒนาของนโยบายประชารัฐ โดยให้เอกสิทธิ์กลุ่มทุนพวกพ้องเข้ามาช่วยทำ นำไปสู่ประชาชนไทยเป็นหนี้ และยากจนลง จึงต้องมีโครงการแจกเงินคนจนหมุนเวียนรายเดือน เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนจากบนลงล่าง และจากล่างขึ้นบนไปสู่กระเป๋าเจ้าสัวในที่สุด ทำให้คนจนจนลง เกิดการกระจุกตัวของความร่ำรวยเฉพาะบางกลุ่ม
นายเมธา ระบุว่า ข้อเสนอของประยุทธ์ แกนที่ 1 คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ให้สัมปทานเฉพาะเจ้าสัวกลุ่มทุนผูกขาดที่อิงแอบกับรัฐบาล ยึดทรัพยากรของรัฐ ไฟฟ้า พลังงาน ไปให้สัมปทานเอกชน บางโครงการให้งบรัฐไปอุดหนุน กำไรเอกชนเอาไป ยกตัวอย่างแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่รัฐลงทุนหลายหมื่นล้านก็จะยกให้เอกชนไป การที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% แล้วจ้างเอกชนบริหารจัดการไม่เหมือนกับยกให้เอกชนร่วมเป็นเจ้าของทรัพย์สินแล้วบริหารเอากำไร จริงๆ แล้ว ปตท.กระทรวงการคลังควรถือหุ้น 100% แทนคนไทยทั้งชาติแล้วจ้างบริษัทมหาชนบริหารจัดการได้
” แต่รัฐพยายามยกเอกสิทธิ์ทุกอย่างให้กลุ่มทุนผูกขาดผลประโยชน์แทนคนไทยโดยอ้างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะมีประโยชน์อะไรถ้าโครงสร้างตึกรามใหญ่โตนั้นรัฐไม่ได้เป็นเจ้าของแล้วประชาชนต้องจ่ายราคาแพง ทั้งค่าน้ำมันราคาแพง ค่ารถไฟฟ้าขึ้นราคา ค่าทางด่วนไม่รู้กี่ทอด ทั้งยังค่าไฟขึ้นราคาอีก ผูกขาดไปทุกระบบ ผลประโยชน์ตกกับกลุ่มทุน รัฐเป็นหนี้มหาศาลและมากที่สุดในประวัติศาสตร์” นายเมธา ระบุ
นายเมธา กล่าวต่อว่า แกนที่ 2 คือแกนที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งนายกฯ คงไม่ทราบว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้มีแต่จะจ้างงานน้อยลง เพราะใช้เทคโนโลยี AI และเครื่องจักรมากขึ้น รวมทั้งเป็นผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ และกำลังล้มเหลวในโครงการ EEC เนื่องจากเป็นระบบทุนอุปถัมภ์ เน้นแต่ให้สิทธิประโยชน์เอกชน ลดภาษีส่งเสริมการลงทุน ทั้งๆ ที่ยุคสมัยนี้จะต้องเก็บภาษีกับกลุ่มทุนและภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้าให้มากขึ้น เพื่อเอาส่วนเกินที่ได้ไปจากสังคมที่ผ่านมาสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจนายเมธา กล่าวอีกว่า ถามอีกว่ารัฐบาลเคยคิดประดิษฐ์แบนด์อะไรของตนเองที่เป็นนวัตกรรมส่งออกหรือไม่ แทบจะไม่มีเลยนอกจากการเป็นนายหน้าขายชาติขายแผ่นดินเพื่อการลงทุนที่จับต้องไม่ได้ ผลที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตอนนี้คืออุตสาหกรรมผูกขาด สิทธิแรงงานถูกกดขี่
นายเมธา กล่าวว่า แกนที่ 3 คือการพลิกโฉมภาคการเงินการธนาคาร พล.อ.ประยุทธ์มีความรู้ด้านนี้ซะที่ไหน ความคิดแบบเสรีนิยมที่ฟังเขามาทำนโยบายอันตรายอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ทุกวันนี้กลุ่มทุนโลกเข้ายึดธนาคารไทยไปเกือบหมดแล้วและตั้งฐานบัญชาการที่สิงคโปร์ ทำไมไม่ลดช่องว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ที่มันสูงมากจนเกิดการเกร็งกำไรด้านการเงินมหาศาล ไม่แตะต้องนโยบายทางการเงินที่ขูดรีดคนไทยมหาศาล
นายเมธา กล่าวต่อว่า แม้แต่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ต่างๆ ยังมุ่งแต่แสวงหากำไรจากดอกเบี้ย จนชาวบ้านพลัดที่นาคาที่อยู่ ที่ดินทำกินหลุดลอยในมือชาวนาที่ไม่มีปัญหาจ่ายดอก ไปสู่นายทุนที่รออยู่จำนวนมากโดยมีเจ้าหน้าที่คอยส่งโฉนดให้ รัฐบาลเคยคิดถึงการจัดตั้งธนาคารแรงงานที่ไม่เอาเปรียบประชาชนจริงๆ ไหม ทำไมระบบสหกรณ์ต่างๆ แปรรูปไปเป็นการเกร็งกำไรสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนแทบทั้งสิ้น
“วันนี้ประเทศเกิดความเหลื่อมล้ำอันดับหนึ่ง เพราะการบริหารประเทศแบบทุนนิยมเผด็จการ สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้นโดยไม่ปรากฎมาก่อน ไม่มีนโยบายปรับเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง จนหนี้สินประเทศมากล้นพ้นตัว ยากจนทั้งแผ่นดิน ทำงานมา 8 ปีไม่มีให้ต่อเวลาแล้ว หรือท่านจะต่อไปจนชั่วชีวิตไหมล่ะถึงจะพอใจ ให้คนไทยตายให้หมดเพราะคนโง่แล้วขยันแบบนายกฯ ข้ออ้างความจริงใจของท่านคือทุกข์ระกำของคนไทยทั้งชาติหากยังกอดอำนาจไว้ไม่ยอมปล่อย” นายเมธา ระบุ.