'เอ็ดดี้' โต้ทุกเม็ดปม 'ชาญวิทย์:กว่าที่ผมจะตาสว่าง'

25 มิ.ย.2565 - นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค โดยมีรายละเอียดดังนี้

“ความจริงที่มันเป็นความจริง จริงๆ” ของเหตุการณ์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
..........................
อ.ชาญวิทย์ ท่านเล่าว่าท่านจบ ป.ตรี รัฐศาสตร์ เกียรตินิยม ป.โท รัฐศาสตร์ แต่ท่านก็ยังไม่ตาสว่าง

ท่านมาตาสว่างเอาตอนที่เปลี่ยนไปเรียน ป.เอกประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้ท่านพบว่า “ประวัติศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่อทางการเมือง”

ผมในฐานะเป็นผู้เยาว์ เป็นผู้น้อย เป็นผู้ต่ำต้อย เมื่อเทียบกับท่าน แต่ผมก็คล้ายๆ ว่าเดินไปตามเส้นทางเดียวกันกับที่ท่านเดิน

กล่าวคือ ผมก็เรียนรัฐศาสตร์ แล้วพบว่า มันต้องต่อยอดด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อจะค้นหาความจริงของประวัติศาสตร์การเมือง

เมื่อฟังไปถึงตอนที่ท่านบอกว่า ท่านเรียนรัฐศาสตร์จนจบ ป.โท แล้วก็ยังไม่ตาสว่าง แต่เมื่อเรียน ป.เอก ประวัติศาสตร์ ทำให้ท่านตาสว่างว่า “ประวัติศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่อทางการเมือง”

ซึ่งตรงนี้ ผมเห็นด้วยกับท่านส่วนหนึ่ง ว่า “ประวัติศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่อทางการเมือง”

แต่ผมมีข้อโต้แย้งในใจ ว่าถึงมันจะใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และอย่าเหมาว่าเป็นแบบนั้นทั้งหมด

ที่สำคัญ ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ฝรั่งเป็นคนเขียนหรือเป็นคนสอน ก็เชื่อได้เป็นบางเรื่องอีกด้วย

อาจารย์ไปเรียนประวัติศาสตร์กับฝรั่งแล้วอาจารย์เชื่อทั้งหมด เสร็จแล้วบอกว่า ทำให้ตาสว่าง ทำให้ผมเริ่มไม่เชื่อว่าอาจารย์ตาสว่างเพราะไปเรียนประวัติศาสตร์ที่อเมริกา
...............................
ผมได้เคล็ดวิชาที่สำคัญมาวิชาหนึ่งตั้งแต่สมัยเด็กๆ เคล็ดวิชานั้นสอนผมว่า เวลาฟังใครพูดอะไร เขาคนเหล่านั้น มักแสดงออกว่า เขาพูดแต่ความจริง แต่เอาจริงๆ แล้ว ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเดียว เพราะฉะนั้นต้องตามหาความจริงให้ได้ว่า ความจริงที่เขาพูดทั้งหมด จริงๆ แล้ว “ความจริงที่มันเป็นความจริง จริงๆ”มันอยู่ตรงไหน

ดังนั้น ผมจึงตั้งใจฟังต่อไป ว่าจริงๆ แล้วอาจารย์ไปตาสว่างตอนไหนกันแน่

อาจารย์เล่าต่อว่า ในที่สุดอาจารย์ได้ไปฝรั่งเศส ได้ไปถึงปารีส และได้พบกับท่านปรีดี และภรรยาท่านปรีดี เลี้ยงข้าวคลุกกระปิ ซึ่งอาจารย์ยังจำข้าวจานนั้นได้จนถึงทุกวันนี้

ฟังมาถึงตรงนี้ ผมก็ตาสว่างขึ้นทันที เพราะอาจารย์ได้เผย “ความจริงที่มันเป็นความจริง จริงๆ” ออกมาในที่สุด

ว่าสิ่งที่ทำให้อาจารย์ตาสว่าง ไม่ใช่ตอนที่ไปเรียนประวัติศาสตร์ที่อเมริกาหรอก แต่การไปเรียนประวัติศาสตร์ที่อเมริกา มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยเปิดทางอีกเส้นทางหนึ่งให้อาจารย์

แล้วคำถามทุกอย่าง มันได้รับคำตอบ ก็ไอ้ตอนที่อาจารย์ได้พบท่านปรีดี นั้นเอง

“ความจริงที่มันเป็นความจริง จริงๆ”

ก็คือ ความจริง จากปากท่านปรีดี นั้นเอง ที่ช่วยทำให้อาจารย์ตาสว่าง
ซึ่งความจริงของท่านปรีดีที่ทำให้ อ.ชาญวิทย์ ตาสว่างนั้น มันเป็นความจริงคนละโลก กับความจริงของในหลวงรัชกาลที่ ๗ อย่างสิ้นเชิง
.......................................
อาจารย์ตั้งคำถามว่า ที่มีคนพูดกันว่า การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร์ ที่มีท่านปรีดีเป็นคนต้นคิดนั้น เป็นเรื่องของ”การชิงสุกก่อนห่าม” เพราะเมืองไทยยังไม่พร้อม

ซึ่งความจริงคำว่า “เมืองไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” นั้น เป็นพระราชวินิจฉัยของในหลวงรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖

ในขณะที่รัชกาลที่ ๗ กลับตั้งพระทัยแล้วที่จะมอบประชาธิปไตยในกับคนไทย แต่คณะอภิรัฐมนตรีและผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย คัดค้านพระองค์ท่าน ด้วยความเห็นเช่นเดียวกับในหลวงรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ว่า “เมืองไทยยังไม่พร้อม”
........................................
อ.ชาญวิทย์ ตั้งคำถามว่า ที่ว่า”ยังไม่พร้อม” นั้น “คือใครที่ยังไม่พร้อม”

ผมแอบเดาในใจว่า คำตอบของอาจารย์คือ “พระมหากษัตริย์หรือเปล่าที่ยังไม่พร้อม”

แต่ผมมีคำตอบให้กับอาจารย์ ว่า “ผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็คือ “ประชาชน”

ผมไม่เชื่อว่าอาจารย์จะไม่รู้ว่า “ผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็คือ “ประชาชน” เพราะทั้งผมและอาจารย์ก็เรียนรัฐศาสตร์มาเหมือนกัน
..........................................
สาเหตุที่ ประชาชนคนไทยยังไม่พร้อมกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ณ เวลานั้น (คือเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕) เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย ซึ่งหมายถึงประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ

การที่ประชาชนได้เป็นใหญ่ ทั้งที่เขายังไม่มีความรู้

ไม่มีความรู้ในเรื่องการเมืองการปกครอง

ไม่มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม

ไม่มีความรู้ในเรื่องประชาธิปไตย

ที่สำคัญ คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่รู้แม้กระทั่ง การอ่านภาษาไทย กล่าวคือ อ่านยังไม่ออกด้วยซ้ำ

มันคือเรื่องอันตราย

เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เราต้องยอมรับและทำตามเสียงส่วนใหญ่

พอประชาชนไม่รู้หนังสือ ก็จะทำให้ตกเป็นเครื่องมือทางเมืองให้กับพวกที่รู้หนังสือได้โดยง่าย

การเมืองก็จะตกไปอยู่ในมือของคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

และคนกลุ่มนั้น ก็คือ กลุ่มคณะราษฎร

ซึ่งการเมืองที่อยู่ภายใต้พรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว เรียกว่า คอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการ ไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างที่หลอกกัน
......................................
อาจารย์ยังตั้งคำถามอีกว่า การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ ๒๔๗๕ ใครเป็นแพะ ใครเป็นฮีโร่

ซึ่งแน่นอนว่า อาจารย์ไปตาสว่างเมื่อได้พบกับท่านปรีดี คำตอบของอาจารย์ย่อมจะออกมาว่า ท่านปรีดีเป็นแพะ

ทั้งที่เราก็เห็นกันอยู่ว่า ผู้ที่เป็นแพะจริงๆ ก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะแม้แต่อาจารย์ก็ยังตั้งคำถามว่า “ใครที่ยังไม่พร้อม” ทั้งที่คำตอบในใจของอาจารย์ก็คือ พระมหากษัตริย์ไม่พร้อม(ที่จะสูญเสียอำนาจ)
ทั้งที่ “ความจริงที่มันเป็นความจริง จริงๆ” ณ เวลานั้น ผู้ที่ยังไม่พร้อม คือ “ประชาชนคนไทย”

การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ ๒๔๗๕ เป็นการชิงสุกก่อนห่าม เป็นการติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก

เป็นเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มอบอำนาจการปกครองให้กับประชาชน ทั้งที่มีประชาชนคนไทยส่วนน้อยเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ได้เรียนหนังสือ และเข้าใจการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ทำให้ ถึงแม้ว่าเราจะมีประชาธิปไตยผ่านมาถึง ๙๐ ปีแล้ว แต่ประเทศชาติและสังคมไทยก็ยังวุ่นวาย และไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ถูกที่ควร เพราะการชิงสุกก่อนห่าม และการติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกของคณะราษฎรนั้นเอง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทัวร์ว่าไง! เชื่อหรือไม่สมัยเรียนป.ตรีต่อเมืองนอก 'ชาญวิทย์' ไม่รู้ว่า 'ปรีดี พนมยงค์' คือใคร

นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ว่า เชื่อไหม

ผลจากการปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 ทำให้ประเทศไทยไม่ก้าวหน้า

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่าผลจากการปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 ทำให้ประเทศไทยไม่ก้าวหน้า (ตอนที่2)

92 ปีที่ผ่านไป อะไรอะไรไม่เหมือนเดิม สิ่งดีงาม ไม่มีเพิ่ม ความเหิมเกริมคือของจริง

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กเนื่องในวันครบ 92 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีเนื้อหาดังนี้

'อนาคตไกล' ชี้รัฐประหารมีโอกาสเกิดขึ้นอีก หากบ้านเมืองยังมีนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด

ครบ 92 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย 2475 การเมืองไทยยังวนลูปแย่งชิงอำนาจ “อนาคตไกล” ชี้รัฐประหารมีโอกาสเกิดขึ้นอีก หากบ้านเมืองยังมีนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด

ประเทศไทยจะไปได้ไกลกว่านี้มาก ถ้าไม่มีคณะราษฎร

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเนื่องในวันครบ 92 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยมีเนื้อหาดังนี้