'อดีตบิ๊กศรภ.' ขยายความ 'น้องมิลลิ' พูดเรื่องรถไฟ120ปี พระมหากษัตริย์ สร้างบ้านเมือง 'คณะราษฎร' ทำให้ชะงักงัน

'พล.ท.นันทเดช' ขยายความ'น้องมิลลิ'พูดเรื่องรถไฟ 120 ปี ร.5, ร.6 และ ร.7 สร้างบ้านสร้างเมือง เศรษฐกิจดีกว่า เกือบทุกประเทศในเอเชีย'คณะราษฎร'จึงยึดอำนาจทำให้เกิดภาวะชะงักงันหลายเรื่อง รวมถึงการพัฒนารถไฟเพิ่งมาโงหัวยุค'รัฐบาลลุงตู่'

22 เม.ย.2565 - พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก หัวข้อ จากเพลงแร็ป ถึง รถไฟในสมัยคณะราษฏร และ รถไฟลุงตู่ มีเนื้อหาดังนี้

กรณีน้อง มิลลิ สาวเพลงแร็ปนำเรื่องต่างๆ ของประเทศไทยไปร้องโชว์ในต่างประเทศจนเป็นข่าวดังรู้กันทั่วไปนั้น ประเด็นที่น้องมิลลิแร็ปไปนั้น ผมเห็นว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรที่ไม่ดีต่อประเทศไทย ยกเว้นเรื่องรถไฟ 120 ปี ซึ่งถ้าดูดีๆ ก็เป็นเรื่องจริง จึงขอขยายความ บอกเตือนคนไทยทั่วๆไปให้เข้าใจถึง พระราชวิริยะอุตสาหะใน การสร้างบ้านสร้างเมืองของพระมหากษัตริย์ไทย 3 พระองค์ คือ ร.5, ร.6 และ ร.7 ให้เข้าใจสั้นๆ ครับ

1.ร.5 ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการคมนาคม, สาธารณูปโภค,การชลประทาน (เขื่อน และ คลอง) การเพิ่มพื้นท่ีทำนาทำไร่, เรื่องสิทธิความเท่าเทียม และ การศึกษา

2.ร.6 ทรงขยายผลให้พระราชประสงค์ของ ร.5 เสร็จสมบูรณ์ขึ้น โดยยอมสละประโยชน์ส่วนพระองค์พระราชทานแก่บ้านเมือง ทรงให้เสนาบดีกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์ ว่าจะถวายเท่าใดก็จะทรงรับเท่านั้นเพื่อนำเงินไปร่วมในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตของราษฎร ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับประชาชน (เส้นทางรถไฟ, ขุดคลอง, โรงไฟฟ้า, น้ำประปา, ตัดถนน สร้างสะพานทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดมากกว่าร้อยสะพาน)ในรัชสมัยของ ร.6 นั้นพระองค์ทรงสิทธิ์ในการบริหารงานราชการแผ่นดินอย่างเต็มที่ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจดังกล่าวนี้เลยนอกจาก 2 กรณี ได้แก่ (1) การประกาศสงครามกับเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และ (2) การใช้นโยบายการคลังเชิงรุก เกี่ยวกับการกู้เงิน เพราะทรงเห็นว่า เส้นทางรถไฟยังไปไม่ถึงจังหวัดสุดท้ายในสยามตามเขตประเทศที่ ร.5 ทรงประกาศไว้

3.ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง สยามได้กู้เงินจากตลาดการเงินในกรุงลอนดอน 2 ครั้ง ครั้งแรก (พ.ศ.2464) จำนวน 2 ล้านปอนด์ และครั้งที่สอง (พ.ศ.2466) จำนวน 3 ล้านปอนด์ เพื่อมาสร้างทางรถไฟจนครบทุกภาคเสร็จสิ้นในต้นรัชสมัยของ ร.7 รวมทั้งการก่อสร้างเขื่อนและสาธารณประโยชน์ต่างๆ (ในสมัยรัฐบาลคณะราษฎร นายปรีดีก็มีการกู้เงินในลักษณะนี้เช่นกัน แต่ไม่สามารถใช้หนี้ได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเหมือน ร.7)

การลงทุนครั้งนี้ส่งผลดีในระยะเวลาต่อมาอย่างมาก ทำให้สยามมีรายได้จากการค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากระบบขนส่งทางรางและการเพิ่มผลผลิตสินค้าทางการเกษตร ซึ่งส่งผลให้เงินคงพระคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเขื่อนพระราม ๖ และโครงการชลประทานป่าสักใต้สำเร็จ รวมกับโครงข่ายเส้นทางรถไฟซึ่งเชื่อมต่อครบทุกภาคได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ผลผลิตจากการเกษตรได้เพิ่มปริมาณขึ้นและขยายตัวเข้าสู่ท้องตลาดได้รวดเร็วขึ้น จนสามารถใช้หนี้สินที่กู้มาจากตลาดการเงินในกรุงลอนดอนหมดสิ้นโดยไม่ต้องตั้งงบประมาณใช้หนี้ไว้ในงบประมาณแผ่นดิน

4.ในต้นรัชสมัยของ ร.7 สยามมีสภาพเศรษฐกิจ ที่ดีกว่า เกือบทุกประเทศในเอเชีย เพราะ
1. สยามเป็นประเทศเอกราชที่ชนะสงครามโลก มีสิทธิเข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติ จึงไม่มีใครมาจะมารุกรานสยามได้อีกต่อไป
2. มีความเจริญทางด้านโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนครบถ้วน
3. มีการแก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบครบถ้วนแล้ว แต่มีบางประเทศ ที่ขอเลื่อนเวลาในการเตรียมตัวยาวออกไปบ้างเท่านั้น
4. มีเงินคงคลังสมบูรณ์
5. มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงรักประชาธิปไตยและทรงมีพระเมตตา

ทั้ง 5 เรื่องนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จุดประกายให้คณะราษฎรเล็งเห็นประโยชน์หากทำการปฏิวัติได้สำเร็จ การบริหารประเทศก็คงไม่ลำบากนัก จึงได้ใช้วิธีฉ้อฉลและบิดเบือนเหตุการณ์เข้ามาก่อการปฏิวัติแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร อาจกล่าวได้ว่า เพราะขณะนั้นสยาม มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกอย่างแล้ว ใครเข้ามาปกครองก็สบายและถ้าเกิดผิดพลาด ปฏิวัติไม่สำเร็จก็ไม่ต้องกลัวโทษประหารเพราะ ใครๆก็รู้ว่า ร.7 ทรงมีพระเมตตา และเป็นนักประชาธิบไตย การปฏิวัติของคณะราษฎรนี้เองจึงทำให้ประเทศไทยเกิดภาวะชะงักงันหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ ไม่มีพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงรถไฟอย่างที่ควรจะทำ นอกจากเชื่อมเส้นทางไปยังจังหวัดต่างๆ เป็นไปตามที่น้องมิลลิแร็ปไว้

วันเวลา 25 ปีที่แทบจะเสียเปล่าของคณะราษฎร ต่อเนื่องอีก 25 ปีของสงครามเย็นที่ไทยต้องสู้ศึกรอบด้าน เพื่อกู้ศักดิ์ศรีให้กับสหรัฐฯ จนมาถึงยุค พล.อ.เปรม จึงมีการเริ่มวางโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาอีกครั้ง ในยุค“โชติช่วงชัชวาลย์” แต่หลังจากนั้นก็เจอเครือข่ายทักษิณอีก 15 ปี ที่ทำให้มีนักการเมืองต้องโทษคดีทุจริตมากกว่า 10 คน (รายละเอียดอ่านในหนังสือวิวัฒน์รัตนโกสินทร์ครับ)ประเทศไทย เพิ่งมาโงหัวก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นใหม่ในยุครัฐบาลลุงตู่นี้เอง

ขอสั้นๆเท่านั้น แต่คงพอเข้าใจนะครับ

และนี่คือเหตุผลหนึ่ง ที่ว่า “ลุงตู่โครตน่าเบื่อเลย แต่ก็ต้องทน” ครับ

พลโท นันทเดช/ 21เมษา 65

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อุ้ย! อดีตบิ๊กศรภ. บอกแบ่งงบซอฟต์พาวเวอร์แจก ’หมูเด้ง’ บ้าง จะได้มีผลงาน

อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ แนะนำเงิน Soft power จำนวนมหึมา ของนายก อุ๊งอิ๊ง นั้นควรแบ่งมาแจกให้ 'น้องหมูเด้ง'

'นายกฯอิ๊งค์' อยู่ได้เกิน 6 เดือนไหม! ขึ้นอยู่กับ 2 ทางรอด

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อุ๊งอิ๊งจะอยู่เกิน 6 เดือนไหม

'อดีตบิ๊กศรภ.' ชำแหละ 9 ข้อต่อสู้ 'ก้าวไกล' ดูเสมือนจะยอมรับว่าก้าวต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ก้าวไกล ดูเสมือนจะยอมรับว่าก้าวต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว มีเนื้อหาดังนี้