'คำนูณ' เตรียมสับร่าง พ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญามาตรา 6 (2)- มาตรา 55 (4)

'คำนูณ' ออกบทความร่าวยาวเรื่องร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ บอกอย่าเพิ่งด่วนปิดช่องร่าง พ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา กรณีให้อัยการ่วมสอบคดีสำคัญตั้งแต่ต้น

21 เม.ย.2565 - นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กในรูปแบบบทความหัวข้อ “ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจวาระ 2-3 อย่าด่วนปิดทางร่าง พ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา-ให้อัยการร่วมสอบสวนคดีสำคัญ!” มีเนื้อหาว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 258 ง. (2) และ (4) ในส่วนของระบบการสอบสวนคดีอาญานั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษตั้งตามมติคณะรัฐมนตรี 2 ครั้ง 2 หนทั้งในปี 2561 และ 2562 ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์เป็นประธาน ได้แยกบัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา เป็น 2 ด้านของเหรียญ โดยฉบับแรกเป็นด้านภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สร้างสายงานสอบสวนให้เป็นสายงานเฉพาะ มีผู้บังคับบัญชาของตนเอง มีความเป็นอิสระในการทำสำนวนคดี ส่วนฉบับหลังเป็นด้านภายนอก กำหนดให้พนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่ต้นในคดีสำคัญ ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับยกร่างเสร็จตั้งแต่ปลายปี 2561 ต่อต้นปี 2562

แต่รัฐบาลส่งเข้ารัฐสภามาเพียงแค่ฉบับแรก เมื่อต้นปี 2564 หลังผ่านการปรับแก้จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว โดยหนึ่งในประเด็นที่ถูกปรับแก้ลดความเข้มข้นลงคือความเป็นสายงานเฉพาะและความเป็นอิสระในการทำสำนวนคดีของพนักงานสอบสวน

ส่วนฉบับหลังรัฐบาลยังไม่ส่งเข้ามา

จริงอยู่ ในทางทฤษฎีแล้วร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา หรือพูดให้เข้าใจง่ายว่าร่างกฎหมายให้อัยการเข้าร่วมสอบสวนกับตำรวจตั้งแต่เริ่มต้นในคดีสำคัญ จะยังไม่ถึงกับ ‘แท้ง’ เสียทีเดียว ยังอยู่ เพียงแต่วันนี้รัฐบาลยังไม่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเท่านั้น โดยล่าสุดทราบว่าคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ให้ชะลอการเสนอรัฐสภาไว้ก่อน เพื่อรอความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ที่อยู่ในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการของรัฐสภา โดยคาดว่าจะส่งกลับเข้ารัฐสภาเพื่อพิจารณาวาระ 2 และ 3 ได้ภายในสมัยประชุมที่จะเปิดวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ที่จะถึงนี้ (โปรดดูภาพประกอบที่ 1 หนังสือจากผู้ปฎิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 3 ธันวาคม 2565)

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ยากที่จะเชื่อได้ว่าร่างกฎหมายให้อัยการร่วมสอบสวนจะมีโอกาส ‘คลอด’ ได้ง่าย ๆ ครับจะไม่พูดถึงเวลาของสภาผู้แทนราษฎรที่มีเหลืออยู่น้อยมาก แต่จะขอพูดถึงกระบวนการพิจารณา

ร่างพระราชบัญญัติตำรวจฯ กับร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา เป็น ‘กฎหมายคู่’ ซึ่งบางทีก็เรียกว่า ‘กฎหมายพวง’ ในชั้นยกร่างฯก็กระทำโดยคณะกรรมการชุดเดียวกัน โดยปกติแล้วร่างกฎหมายคู่กันทำนองนี้รัฐบาลสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้พร้อมกัน และพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันเพื่อให้เนื้อหาสอดคล้องกันป้องกันความลักลั่น ประมาณเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่เสรอเข้ามาพร้อมกันและกำชับพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันอยู่ในขณะนี้แหละครับ

แต่รัฐบาลกลับส่งเฉพาะร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติเข้ามาฉบับเดียวเมื่อต้นปี 2564 โดยในขณะนั้นยังไม่ได้มีมติว่าจะชะลอร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาไว้ก่อนแต่ประการใด เพิ่งมามีมติเอาในอีกเกือบ 1 ปีถัดมา จะเพราะมีคนติดตามถามไถ่กันมากหรือเปล่า ไม่ทราบ และไม่ขอวิจารณ์

ถ้าจะพูดดันตรงไปตรงมา เหตุผลสำคัญจริง ๆ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานปฏิบัติ คัดค้านร่างกฎหมายที่บัญญัติให้อัยการเข้าร่วมสอบสวนกับตำรวจตั้งแต่ต้นในคดีสำคัญฉบับนี้อย่างเต็มที่ เหมือนที่คัดค้านร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ในบางประเด็นสำคัญและรัฐบาลยอมให้มีการแก้ไขปรับปรุงก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา หน่วยงานผู้ปฏิบัติคัดค้านไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่ที่จะเป็นการปฏิรูปใหญ่อย่างเรื่องการให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่ต้นในคดีสำคัญ
แน่นอน รัฐบาลต้องรับฟัง แต่คำว่า ‘รับฟัง’ ทั้งตัวสะกดและความหมายไม่เหมือนกับคำว่า ‘เชื่อฟัง’ นะ

รัฐบาลในฐานะฝ่ายการเมืองมีความเห็นเชิงนโยบายในที่สุดอย่างไร ควรที่จะชั่งน้ำหนักแล้วตัดสินใจให้ชัดเจน และบอกกล่าวตรง ๆ กับประชาชน ผมเองในฐานะประชาชนคนหนึ่งอาจจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับรัฐบาล แต่รับได้ครับ รับได้มากกว่าแทคติกการอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย ๆ จนหมดเวลา

ทีนี้ ในขณะที่รัฐบาลอ้างว่า ‘พิจารณาความสอดคล้อง’ กับร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ผมจะพาพวกเรามาดูผลการพิจารณาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ของคณะกรรมาธิการฯที่ทำหน้าที่มากว่า 1 ปีแล้ว
เพราะในฐานะที่เป็น ‘กฎหมายคู่’ ในร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติย่อมมีการอ้างอิงหรือกล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาไว้ด้วย ปรากฏว่ามี 2 มาตรา
- มาตรา 6 (2)
- มาตรา 55 (4)

มาตรา 6 เป็นบทบัญญัติบททั่วไปกล่าวถึงภาพรวมแห่งอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยในอนุมาตรา (2) เขียนไว้ว่า…“ดูแล ควบคุม และกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น”

คำว่า ‘และกฎหมายอื่น’ นี่ไม่มีอยู่ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนะครับ ผู้ร่างจงใจให้หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาซึ่งเป็นกฎหมายคู่กันและยกร่างขึ้นมาพร้อมกัน หรือกฎหมายอื่นใดที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต

มาตรา 55 เป็นบทบัญญัติที่กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผบ.ตร. โดยในอนุมาตรา (4) บัญญัติไว้ว่า…“วางระเบียบหรือทำคำสั่งเฉพาะเรื่องไว้ให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่น ระเบียบหรือคำสั่งดังกล่าวจะขัดหรือแย้งต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีอาญา มิได้”

ประเด็นอยู่ที่คำว่า ‘หรือกฎหมายอื่น’ และ ‘กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีอาญา’ ครับ เป็นการเขียนเพื่อรองรับร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาที่เป็นกฎหมายคู่กัน เกิดอะไรขึ้นกับมาตรา 6 (2) และมาตรา 55 (4) ทราบมั้ยครับ กรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติให้แก้ไขโดยตัดคำว่า ‘และกฎหมายอื่น’, ‘หรือกฎหมายอื่น’ และ ‘กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีอาญา’ ออกครับ

(ดูภาพประกอบที่ 2 และ 3 ภาพถ่ายร่างรายงานของคณะกรรมาธิการมาตรา 6 และมาตรา 55 ดูตัวพิมพ์ที่ถูกตัดออก ซึ่งเป็นรูปแบบรายงานการพิจารณามาตรฐานของกรรมาธิการ เพื่อให้สมาชิกเห็นว่ามติของกรรมาธิการตัดหรือเพิ่มเติมข้อความใด ถ้าตัดก็จะพิมพ์ให้เห็นเป็นตัวขีดฆ่าข้อความเดิมทีละตัวอักษร ถ้าเพิ่มเติมข้อความใดก็จะพิมพ์ขีดเส้นใต้ข้อความที่เพิ่มเติมใหม่นั้น)

แปลว่าอะไร ? แปลว่าถ้ามติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวาระ 2 เห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็มีอำนาจหน้าที่และการออกระเบียบและคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับเดียว ต่อไปในอนาคตหากมีพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาหรือกฎหมายอื่นออกมากำหนดกระบวนการทำงานของข้าราชการตำรวจอีกก็จะเกิดปัญหาทันที เพราะกฎหมายหลักของตำรวจไม่เปิดช่องไว้ให้ต้องปฏิบัติตาม จะมีข้อถกเถียงในทางหลักการตามมา
หรือนี่จะเป็น ‘ความสอดคล้อง’ กับร่างพระราชบัญญัติตำรวจฯฉบับใหม่ที่รัฐบาล ‘รอ’ อยู่ ?

แน่นอนครับ ผมแจ้งต่อฝ่ายเลขานุการว่าขอสงวนความเห็นให้คงไว้ตามร่างฯเดิมในมาตรา 6 (2) และ 55 (4)
ทั้งนี้ ก็เพียงแค่เพื่อให้ ‘เปิดช่อง’ ไว้สำหรับรองรับร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา หรือกฎหมายอื่นในอนาคตนอกเหนือจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ร่างกฎหมายที่ว่านั้นจะมาหรือไม่ เมื่อไร และสุดท้ายจะมีหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าด่วนไปปิดช่อง เขียนไว้ตามร่างฯเดิมไม่เสียหาย

ผมไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าสุดท้ายแล้วจะต้องมีร่างกฎหมายใหม่ให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่ต้นในคดีสำคัญ เพราะขึ้นอยู่กับรัฐบาลและรัฐสภาในอนาคต เป็น 2 ใน 43 มาตราที่ผมสงวนความเห็นไว้ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย จะแพ้หรือชนะไม่ว่าใน 2 มาตรานี้หรือมาตราอื่น ๆ ไม่ทราบ

สำหรับผมแพ้ชนะไม่สำคัญ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อบันทึกไว้ซึ่งหลักการการทำงานของตัวเองที่บังเอิญเข้ามาอยู่กับความพยายามในการปฏิรูปตำรวจรอบสุดท้ายนี้มา 5 ปีแล้ว และขอใช้สิทธิอภิปรายในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาวาระ 2 สั้น ๆ เน้น ๆ ตามความเข้าใจของตัวเองในแต่ละประเด็น จุดประกายให้สมาชิกช่วยกันต่อยอดอภิปราย คงอภิปรายกันพอสมควรละครับ โดยเฉพาะ 2 มาตราที่จะ ‘เปิดทาง’ หรือ ‘ปิดทาง’ ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา ตามที่เขียนเล่ามานี่ เพราะเป็นการแก้ไขของกรรมาธิการ สมาชิกสามารถอภิปรายได้ทุกคนแม้จะไม่ได้ยื่นและสงวนคำแปรญัตติไว้ก็ตาม สุดท้ายก็สุดแต่สมาชิกจะลงมติอย่างไร

รัฐบาลก็คงบอกว่า ‘เป็นเรื่องของรัฐสภา’ ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล เพราะหลักการของร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติเขียนเปิดกว้างไว้รัฐสภาจะตัดสินใจอย่างไรก็ได้ ก็ถูก ไม่ผิด

แม้ว่าเสียงข้างมากของรัฐสภาคือเสียงสนับสนุนรัฐบาลก็จริง แต่ระบบรัฐสภาก็ ‘เป็นเช่นนั้นเอง’ แหละ รัฐบาลไม่ได้เข้ามาหรือไม่อาจเข้ามากำกับเสียงในทุกเรื่องทุกประเด็นเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีความเห็นต่างกันมากเช่นนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ใกล้การเลือกตั้งทั่วไปเช่นช่วงเวลานี้ แต่รัฐบาลที่บริหารประเทศในช่วงที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติบังคับในเรื่องการปฏิรูปประเทศควรจะปฏิบัติเช่นรัฐบาลทั่ว ๆ ไปหรือไม่ ?

และอันที่จริง ถ้าจะใช้ตรรกะ ‘เป็นเรื่องของรัฐสภา’ รัฐบาลก็ไม่ควรกักร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาไว้ เร่งส่งเข้ามาให้รัฐสภาตัดสินใจจะดีกว่าหรือไม่ ? รัฐบาลควรต้องตอบคำถามในวาระครบ 5 ปีของการปฏิรูปประเทศที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ !

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สว.ปฏิมา กังวลกระบวนการยุติธรรมไทยกำลังถูกสั่นคลอนหนัก!

นายปฏิมา จีระแพทย์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ปัจจุบันนี้ เราต่างทราบดีว่า การรักษาความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศคื

กกต. ยื้อ 'หมอเกศ' เลื่อนถกคุณสมบัติจบดอกเตอร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง​ (กกต.) ยังไม่ได้มีการพิจารณารายงานผลการตรวจสอบกรณีพ.ญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย  สมาชิกวุฒิสภา (สว.)​ ถูกร้องว่ากระทำการหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถหรือชื่อเสียงเกียรติคุณ

กระจ่าง! ดร.ณัฏฐ์ นักกฎหมายมหาชน ชี้กรณีคุณสมบัติ 'สว.หมอเกศ'

“ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน ชี้ กรณี สว.หมอเกศ ปริญญาเอกและตำแหน่งศาสตราจารย์ หากไม่จริง เป็นการโชว์เหนือ หลอกลวงเพื่อจูงใจให้ผู้สมัคร สว.ด้วยกัน เข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถของตนเอง

'สว.ชิบ' เค้นรัฐบาล! ใครสั่งโยกคดี 'ดิไอคอน' ให้ดีเอสไอ หวั่นบอสรอดคุก

'สว.ชิบ' ตั้งกระทู้ถามนายกฯ ข้องใจคำสั่งจากใคร ทำให้รัฐบาลโยกคดี 'ดิ ไอคอน' ใส่มือดีเอสไอ หวั่นสรุปคดีไม่ทันเวลา เปิดโอกาสบรรดา 'บอส' รอดคุก

ชวน 'นายกฯอิ๊งค์' ลงใต้ ฟังความทุกข์ทรมานจากปาก 'เหยื่อ-ครอบครัวผู้เสียชีวิต'

'อังคณา' ชี้รัฐบาลพท.-แพทองธาร ปฏิเสธความรับผิดชอบคดีตากใบไม่ได้ ชวนนายกฯ ลงใต้ ฟังความทุกข์ทรมานจากปากเหยื่อ-ครอบครัวผู้เสียชีวิต เตือนระวังคนรู้สึกไม่เป็นธรรม อาจเข้าร่วมขบวนการก่อเหตุ

สว. ห่วงบีอาร์เอ็นฉวย 'คดีตากใบ' โหมไฟใต้ วอนหน่วยมั่นคงป้องเหตุร้าย

'สว.' ห่วงสถานการณ์ชายแดนใต้ ชี้บีอาร์เอ็นฉวยคดีตากใบโหมไฟใต้ วอนหน่วยความมั่นคงบูรณาการปกครองรับมือ ป้องเหตุร้ายสถานที่ราชการ-ร้านค้า-ปั้มน้ำมัน-ชุมชนไทยพุทธ