'ป้ามล' ชี้การถูกข่มขืนบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ไม่ใช่สมยอม แต่เพราะอำนาจเขาไม่เท่ากัน

'ทิชา ณ นคร' ยกประสบการณ์เป็นพยานผู้ทรงวุฒิในศาลคดีข่มขืนให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกคนมีชื่อเสียงในสภาฯข่มขืน ชี้การถูกข่มขืนบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ไม่ใช่ความยินยอม แต่เพราะอำนาจเขาไม่เท่ากัน

20 เม.ย.2565 - นางทิชา ณ นคร หรือ ป้ามล ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาดังนี้

“การข่มขืนบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ” มึงรู้จักมั้ย ?

หลายปีก่อน …
ข้าฯ เคยเป็นพยานผู้ทรงวุฒิในศาล ในคดีข่มขืนให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกคนมีชื่อเสียงในสภาผู้แทนราษฏรข่มขืน

บรรยากาศ content แบบเดียวกับที่ทนาย xx ออกมาติงเลย นั่นคือ ผู้หญิงที่คิดจะแจ้งความต้องตอบคำถาม 3-4 คำถาม (ภาพด้านล่าง ) ให้ได้และผู้หญิงที่ข้าฯ เป็นพยาน เธอถูกข่มขืนหลายครั้ง ทนายจำเลยจึงใช้ข้ออ้างแบบเหรียญด้านเดียว
นั่นคือ …

“การไม่ร้อง ไม่ปัดป้อง ไม่ฟกช้ำ ไม่ร้องขอความช่วยเหลือใคร หลังเกิดเหตุและเคยรู้จักกันมาก่อน ฯลฯ การถูกข่มขืนจึงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งหลายครั้ง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แต่มันคือ “การสมยอม”
ข้าฯ พยายามแถลงว่า …

พ่อที่ข่มขืนลูกก็หลายครั้ง ลูกก็ไม่ร้อง ไม่ปัดป้อง ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ !!!
ครูที่ข่มขืนนักเรียนหลายครั้ง นักเรียนก็ไม่ร้อง ฯ
อาจารย์ที่ข่มขืนนักศึกษาหลายครั้ง นักศึกษาก็ไม่ร้อง ฯ

นายจ้างที่ข่มขืนลูกจ้างหลายครั้ง ลูกจ้างก็ไม่ร้อง ฯ
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
เพราะอะไร …
สมยอม เต็มใจ ใช่มั้ยทนาย …

คำตอบคือ “ไม่ใช่” ทุกครั้ง ทุกค่ำคืน ของเธอเหล่านั้นมันคือการถูกข่มขืนบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ไม่ใช่สมยอม เพราะไม่มีความยินยอม แต่เพราะอำนาจเขาไม่เท่ากัน
555 โลกหมุนทุกวินาที …

แต่จิตวิญญาณคนในกระบวนการยุติธรรมบางคนหยุดนิ่งสนิท
ทิชา ณ นคร
#ไม่เบลมเหยื่อ #metoo