อดีตหัวหน้า​ศรภ.​ เล่าความจริงอีกด้าน​ 'การฉลองวันอัปยศที่สุดของเสื้อแดง'​

11 เม.ย.​ 2565 -​ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้

การฉลองวันอัปยศที่สุดของเสื้อแดง

เวลาผ่านไป​ 12​ ปีแล้ว เด็กที่อยู่ในเหตุการณ์รุนแรง และโหดเหี้ยม เมื่อวันที่​10 เม.ย.53 ตอนนั้น อายุเพิ่ง 5 – 6​ ขวบเท่านั้น จึงไม่มีความสนใจในเรื่องนี้

ปัจจุบันเด็กกลุ่มนี้ อายุได้​17 – 18 แล้ว ก็ยังไม่รู้อีกเช่นเดิม แต่ก็ถูกกลุ่มเสื้อแดง นำเรื่องกลับมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง อ้างว่าในเชิงปลุกระดมว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะทหาร ทำการปราบปรามการต่อสู้ของประชาชนที่ไม่มีอาวุธ”

ผมจึงขอนำเรื่องเดิมที่เคยเขียนไว้ มาเล่าให้ฟัง ซ้ำบ้าง (เขียนไว้เมื่อ 3 ก.ย.57) ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เอาเฉพาะ ที่ถนนราชดำเนินเท่านั้น ยังไม่เล่าไปถึงราชประสงค์ นะครับ

การก่อเหตุรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช. เมื่อ 10 เม.ย. 53 เริ่มต้นขึ้นที่บางลำภู เมื่อการ์ดของกลุ่ม นปช.คนหนึ่ง ซึ่งกำลังผลักดันกันอยู่กับทหาร การ์ดคนนั้นได้ล้วงปืนพกออกมายิงใส่ทหารที่ผลักดันกันอยู่ซึ่งๆ หน้า ล้มลง 2​ คนกลางวันแสกๆ หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เริ่มต้น ก็ปรากฏชายชุดดำใช้อาวุธสงครามทุกชนิดประเคนยิงเข้าไปที่กลุ่มทหาร และประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนประชาชนย่านนั้นต้องนำทหารที่บาดเจ็บไปซ่อนตัวไว้ในบ้าน

เหตุการณ์รุนแรงดังกล่าวนอกเหนือการประเมินของทหารที่ไม่คิดว่า​ “คนไทยด้วยกัน” จะทำอะไรได้ถึงขนาดนี้ นี้ ทหารจึงถอยร่นลงไป 2​ สาย เข้าสู่วงเวียนบางลำภู และ ถ.ข้าวสาร แค่นั้นไม่พอ การปลุกเร้าบนเวทีทำให้เหตุการณ์ขยายตัวไปถึงพื้นที่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา ที่นั้น กลุ่มชายชุดดำอีกชุดหนึ่ง ฮึกเฮิมถึงขั้นใช้อาวุธสงครามนาๆชนิดลอบสังหารนายทหารระดับผู้การกรมจนเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสไปมากกว่า 50 คน รวมถึงการฆ่าประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง อย่างหนัาตัวเมีย วันที่ 10 เม.ย. 53 นั้น มีทหารบาดเจ็บมากมาย กล่าวกันว่า ทหารที่ตายและบาดเจ็บ มีจำนวนพอๆกับทหารไทยที่ไปรบในสงครามเวียดนามเลยทีเดียว (แตกต่างกันตรงที่ ที่ราชดำเนินทหารไม่สามารถใช้อาวุธโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มประชาชนได้ จึงถูกไล่กระทำเพียงฝ่่ายเดียว)

เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ อย่าลืมนะครับว่าเกิดขึ้นกลางถนนราชดำเนิน ท่ามกลางสายตาประชาชนนับหมื่นๆ คน และผู้สื่อข่าวอีกจำนวนมาก แต่ทำไมรัฐบาลถึงหาชายชุดดำไม่ได้มาเป็นเวลานาน จนเกิดข้อถกเถียงกันมากมาย แต่ในข้อเท็จจริงแล้วหาได้ครับ เพราะพยานหลักฐานมีอยู่มากทั้งวัตถุพยาน และพยานบุคคล

หลังจากการสลายการชุมนุมในปี 2553 ทาง DSI ได้รวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวไว้เป็นเล่ม มากพอที่จะทำให้ อธิบดี DSI ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า คดีของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นั้น อยู่ในกลุ่มคดีพิเศษที่มีผู้เสียชีวิตเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช.

แต่เมื่อเข้ามาสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ การติดตามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผู้เสียชีวิตที่ ถ.ดินสอหน้า ร.ร.สตรีวิทยากลับหายเงียบไป ทั้งคดีของทหาร และของพลเรือน อธิบดี DSI ก็กลับลำไปทำคดีเข้าข้างคนเสื้อแดง แถลงความคืบหน้าของคดีนี้ว่า ไม่มีพยานหลักฐานที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้ แต่ในทางตรงกันข้าม คดีการเสียชีวิตจากพลเรือนกลับมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ คดีแรกๆเป็นพลเรือนที่ถูกกระสุนปืนความเร็วสูงตายหน้า ร.ร.สตรีวิทย์ 2​ คน ฝ่ายที่จะเอาผิดทหาร พยายามเชื่อมโยงว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะผลการพิสูจน์ทั้งทางการแพทย์ และรูปภาพในคลิปวิดิโอของคณะกรรมาธิการตรวจสอบฯ ของวุฒิสภาฯ กลับยืนยันได้ว่ากระสุนที่ยิงใส่พลเรือน 2 คน จนเสียชีวิตนั้นไม่ได้มาจากฝั่งทหาร นอกจากนั้น ประชาชนอีกคนก็ตายจาก “กระสุน” ที่ทางทหารไม่มีใช้ เรื่องการตายของพลเรือนที่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา จึงยุติลงไป แต่ไปจับเอาเรื่องของพลเรือนที่ตายย่านราชประสงค์มาเล่นงานทหารแทน

ตลอดเวลานับตั้งแต่ เม.ย. 57 คุณนิชา ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้าฯ พยายามออกมาเรียกร้องขอความยุติธรรมจากรัฐบาล ต่อการเสียชีวิต และ บาดเจ็บของฝ่ายทหารตลอดมา แม้กระทั่งการสวมใส่ชุดดำตลอดเวลา เพื่อเตือนเจ้าหน้าที่รัฐฯให้สนใจต่อปัญหานี้มากขึ้น แต่ไม่มีการตอบรับ ในทางบวกจากรัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ และ DSI คุณนิชา จึงมาร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา จึงมีการแต่งตั้งคณอนุกรรมการฯขึ้นมาทำงาน จนเกิดผลการทำงานอย่างดีเยี่ยม ไม่ท้อถอยต่ออิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น

คณะอนุกรรมาธิการฯ มีการเชิญ จนท. DSI มาสอบถามมากกว่า 5 ครั้ง จนท. ตำรวจทุกระดับในจำนวนใกล้เคียงกัน สื่อมวลทั้งไทยและต่างประเทศ มากกว่า 20 คน ไม่รวมทั้งพยานที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุอีกนับไม่ถ้วน ผลการสอบสวนและการแถลงการณ์เป็นระยะๆ ส่งผลกระทบต่อ “การพยายามผลักดันคดีให้เข้ามาเป็นความผิดของทหาร” จากหน่วยงานรัฐบาลอย่างเต็มที่ พยานจำนวนหนึ่งจึงยังคงอยู่ไม่สูญหายไปไหน

วันนี้ ตำรวจ ทหาร ได้เริ่มคลี่คลายคดีนี้ออกมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว และจะเริ่มคลี่คลายมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น ไม่ว่าจะได้ตัวคนที่ปาระเบิดใส่กลุ่มทหารที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์หรือไม่ (ผลการพิสูจน์มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าผู้ปาระเบิดเป็นมืออาชีพ) แต่วันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า (1) คนชุดดำนั้นมีอยู่จริง และ (2) ถ้าอธิบดี DSI ทำงานจริงๆ คนพวกนี้ก็จะมาถึงจุดจบไปนานแล้ว บ้านเมืองก็จะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะฐานข่าวที่นำมาขยายผลการจับกุมครั้งนี้ก็นำมาจากของเดิมๆทั้งสิ้น ประเด็นที่เกิดใหม่มีเรื่องเดียวครับ”ทำงานกันจริงจังหรือเปล่าเท่านั้น”

วันนี้ (ผมเขียนเรื่องนี้เมื่อ 13​ ก.ย.57) ขอให้กำลังใจแก่ ตำรวจ ทหาร ทำกันต่อไปเถอะครับ เพราะสิ่งที่ท่านทำ กำลังบอกให้ประชาชนรู้ว่า “คนทำดีย่อมจะได้ดีในที่สุด คนทำชั่วก็ต้องรับกรรมไปตามระเบียบ” ไม่มีใครหนีกฏแห่งกรรมได้ครับ และยังทำให้ประเทศไทยพ้นจากความขัดแย้งกันเสียที เมื่อรู้ตัวคนทำผิดแน่นอน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุสรณ์' โวลั่น 'อุดรธานี' ยังคงเป็นเมืองหลวงคนเสื้อแดง

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย (พท.)ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี

เสื้อแดงไม่เข็ด 'จตุพร' ชี้เปรี้ยง 'ทักษิณ' โชว์เหลี่ยมต้มอีกแล้ว!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า การปราศรัยของทักษิณ ชินวัตร ที่อุดร ส่อถึงอาการไม่มั่นใจในผลการพิจารณาคำร้องของศาล รธน. ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 22 พ.ย.นี้

อุ้ย! อดีตบิ๊กศรภ. บอกแบ่งงบซอฟต์พาวเวอร์แจก ’หมูเด้ง’ บ้าง จะได้มีผลงาน

อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ แนะนำเงิน Soft power จำนวนมหึมา ของนายก อุ๊งอิ๊ง นั้นควรแบ่งมาแจกให้ 'น้องหมูเด้ง'

อดีตบิ๊กศรภ. จี้รัฐบาลแพทองฯ ทำกรณีทหารกับเสื้อแดง ให้ยุติเสียที

พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่าเรื่องทหารกับเสื้อแดง