'พิชัย' เขียนอาลัย 'อาจารย์โกร่ง' ชูเป็นที่พึ่งทางใจและความคิด

13 มี.ค. 2565 – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.พลังงาน เขียนข้อความอาลัยผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว Pichai Naripthaphan ระบุว่า

เคารพ รัก และ อาลัย อาจารย์โกร่ง ดร. วีรพงษ์ รามางกูร

นับเป็นบุญวาสนาของผมที่ได้รู้จักกับอาจารย์โกร่ง ดร. วีรพงษ์ รามางกูร ตั้งแต่ผมได้เข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในขณะนั้นอาจารย์เป็นคณบดี และเป็นที่ปรึกษาให้กับพลเอกเปรม ติณสูรานนท์ นายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น

ผมเองคิดในใจว่าอาจารย์ของเรานี่เท่สุดๆเลย เพราะในขณะนั้น อาจารย์ยังหนุ่มอายุยังไม่มากนัก หลายเรื่องที่อาจารย์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการดำเนินการเป็นคุณประโยชน์กับประเทศอย่างมหาศาล เช่นการลดค่าเงินบาทถึง 2 ครั้ง ซึ่งสมัยที่ผมเรียนก็จะได้อ่านแต่เฉพาะในตำราเท่านั้น เพราะในขณะนั้นประเทศไทยยังใช้ระบบกำหนดค่าอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ตายตัวไม่ได้ลอยตัวค่าเงินบาทเหมือนในปัจจุบัน และด้วยเหตุผลนั้นจึงอาจจะเป็นแรงบันดาลใจลึกๆที่ทำให้ผมอยากเข้าสู่การเมืองตั้งแต่นั้นมา จนเป็นแรงผลักดันให้ผมได้เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรกในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้ผมเป็นนิสิตคนแรกของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่ได้เป็นรัฐมนตรี ก่อนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพร้อมกับพี่โต้ง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2554

ความสัมพันธ์ของผมและอาจารย์เริ่มต้นจากที่อาจารย์ในฐานะคณบดี สั่งให้นักการภารโรงของคณะเอากระดาษแปะกาวมาติดที่รถผม เตือนว่านิสิตห้ามจอดรถในที่จอดรถอาจารย์ ผมเองก็ไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นคนสั่ง หลงโกรธนักการภารโรงของคณะอยู่เป็นเวลานาน อาจารย์เพิ่งจะมาเล่าผมหลายปีให้หลัง หลังจากที่ได้สนิทกันแล้ว

ในขณะที่เรียนในมหาวิทยาลัย ผมเองชอบลงวิชาที่อาจารย์สอน ในขณะที่เพื่อนๆจะไม่ชอบลงกัน ทั้งนี้เพราะอาจารย์จะเปิดโอกาสให้นิสิตแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่และใช้หลักคิดเศรษฐศาสตร์มาปรับใช้เพื่ออธิบายในข้อสอบ ในขณะที่อาจารย์หลายท่านจะกำหนดให้ตอบเฉพาะที่สอนไว้เท่านั้น ผมมักจะได้ เกรด A ในทุกวิชาที่อาจารย์สอน เมื่อผมบอกอาจารย์ อาจารย์จะบอกว่าท่านให้ A น้อยมาก ต้องตอบได้โดนใจจริงๆ ผมเลยแอบดีใจในเรื่องนี้

หลังจากที่จบการศึกษาแล้ว ผมได้มีโอกาสไปพบกับอาจารย์ตลอดมา แต่อาจจะไม่บ่อยนัก เนื่องจากผมต้องเดินทางไปค้าขายในต่างประเทศทุกปี ปีหนึ่งประมาณ 4-5 เดือนตลอดยี่สิบกว่าปี แต่เมื่อมีโอกาส ผมจะไปขอเรียนพบอาจารย์เสมอ โดยเฉพาะทุกวันปีใหม่จะต้องไปพบเพื่อขอพรจากอาจารย์ทุกปีเป็นเวลาติดต่อกันกว่ายี่สิบปี และทุกช่วงปีใหม่ที่ผมไปเรียนพบอาจารย์ อาจารย์จะวิเคราะห์เศรษฐกิจในปีนั้นให้ฟังเสมอ ซึ่งเป็นพื้นฐานหลักคิดในการวิเคราะห์เศรษฐกิจของผมในเวลาต่อมา และผมยังซาบซึ้งและจำได้ดีว่าอาจารย์กรุณามาวันเลี้ยงฉลองคุณแม่ของผมที่โรงแรมดุสิตธานี ตอนที่คุณแม่ผมได้รับเลือกเป็นแม่ดีเด่นแห่งชาติในปี พ.ศ. 2547

เมื่อผมได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรกในปี 2551 อาจารย์ได้ให้ความกรุณาผมอย่างสูง โดยจัดเลี้ยงข้าวพร้อมสื่อใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจหลายท่านให้ผม และ ดร. สุชาติ ธาดาธำรงเวช ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังพร้อมกันในตอนนั้น และอาจารย์ได้สอนและแนะนำแนวทางต่างๆในการเป็นรัฐมนตรีที่ดีให้กับผม ซึ่งเป็นประโยชน์กับผมอย่างมาก
อาจารย์เป็นเหมือนที่พึ่งทางใจและที่พึ่งทางความคิด เมื่อมีเรื่องใดไม่แน่ใจโดยเฉพาะเรื่องทางเศรษฐกิจและข้อกฏหมายทางเศรษฐกิจ ผมก็จะมักโทรไปถามอาจารย์เสมอ ซึ่งท่านก็จะอธิบายให้ความกระจ่าง อีกทั้งยังสอนในเรื่องต่างๆที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถาม ซึ่งทำให้ผมสามารถคิดวิเคราะห์เรื่องนั้นๆได้ละเอียดขึ้น

นอกจากที่ผมจะได้รับความรู้จากอาจารย์ในทุกด้านแล้ว ผมยังได้มีโอกาสพาลูกชายของผม นายพชร นริพทะพันธุ์ ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่จบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และจบปริญญาโทสองใบจาก มหาวิทยาลัยบอสตันทางด้านอาชญวิทยา และ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียทางด้านการเจรจาความขัดแย้ง ไปร่วมทานข้าวและร่วมสนทนาด้วยเสมอ ซึ่งลูกชายผมเองก็ชื่นชมอาจารย์อย่างมาก และบอกกับผมว่าจะหาคนที่มีองค์ความรู้ครบเครื่องในทุกด้านทั้ง เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรือแม้กระทั่ง ดาราศาสตร์ อีกทั้งยังมีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างเหลือล้นแบบอาจารย์คงหาไม่ได้แล้ว ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ เราจะได้รับความรู้และมุมมองใหม่ๆจากอาจารย์เสมอ

เรื่องหนึ่งที่ผมซาบซึ้งและขอบพระคุณอาจารย์อย่างมาก และขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งที่อาจารย์กรุณาช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสาธารณะในเรื่อง ทฤษฏีกบต้ม ซึ่งอาจารย์เขียนบทความในหนังสือพิมพ์มติชนและอยู่ในเว็ปไซท์ของมติชนออนไลน์ เมื่อผมถูกพลเอกประยุทธ์สั่งให้คนมาดำเนินคดีผมในเรื่องที่ผมเตือนว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะกบต้ม ตามทฤษฏีกบต้มนี้ ซึ่งพลเอกประยุทธ์คงจะไม่ทราบว่ามีทฤษฎีนี้จริงๆจึงส่งคนมาฟ้องผม และน่าจะเพราะบทความนี้ของอาจารย์ สำนักอัยการจึงได้สั่งไม่ฟ้องผมในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ครั้งหนึ่งอาจารย์ยังได้เขียนชมผมในบทความว่า อดีตรัฐมนตรีพลังงานจบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทในประเทศ ไม่ได้จบการศึกษาจากต่างประเทศ แต่สามารถอธิบายเรื่องเศรษฐกิจได้ดีกว่าข้าราชการจำนวนมากในกระทรวงการคลังและที่แบงก์ชาติที่จบต่างประเทศมาแต่พูดไม่รู้เรื่อง หลักการผิดเพี้ยน ซึ่งน่าจะเป็นการเตือนข้าราชการเพื่อให้คิดได้ถูกทางเพื่อประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก มากกว่าจะพูดเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจทั้งๆที่รู้ว่าผิด อีกทั้งอาจารย์จะโทรมาให้กำลังใจผมเสมอเมื่อผมถูกเรียกตัวปรับทัศนคติรวม 12 หน และกรุณาบอกผมเสมอว่าท่านอ่านข่าวผมตลอดและทุกเรื่องที่ผมพูดถูกต้องหมด ไม่มีผิด ขอให้ยืนหยัดในจุดยืนอย่าไปท้อถอย

ในระยะหลังก่อนที่อาจารย์จะไม่สบาย ผมและอาจารย์สนิทสนมกันอย่างมาก คุยกันแทบทุกวัน และ ออกไปทานข้าวกันบ่อยครั้ง แทบทุกสัปดาห์ อาจารย์จะสนทนากันถูกคอกับผมและลูกชายในเรื่องต่างๆและบางครั้งสนทนากันจนลืมเวลาไปเลย โดยหลายครั้งที่อาจารย์จะนำเรื่องที่สนทนากันไปเขียนเป็นบทความทั้งในหนังสือพิมพ์มติชน และ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจที่อาจารย์เขียนให้ความรู้แก่ประชาชนทุกสัปดาห์

เรื่องที่ทำให้ผมเสียใจและเศร้าอย่างมาก เมื่ออาจารย์โทรมาเล่าว่าเกล็ดเลือดของอาจารย์ลดลงมาก และอยากหาสาเหตุ ผมจึงได้นำอาจารย์ไปตรวจกับแพทย์ที่มีความชำนาญในเรื่องนี้ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม ผมได้อยู่กับอาจารย์ตลอดการพบแพทย์และทดสอบทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี หลังจากที่อาจารย์ได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลพระมงกุฎแล้ว ซึ่งต่อมาอาจารย์โทรมาแจ้งว่าท่านเป็นโรคลูคีเมีย หรือ โรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ซึ่งท่านเล่าผมว่าน่าจะเป็นกรรมพันธุ์เพราะบิดาของอาจารย์ก็เป็นโรคนี้ โดยท่านได้เข้าบำบัดรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ

ในระยะแรก การรักษาเป็นไปได้อย่างราบรื่น ผมเองได้ไปเยี่ยมและนั่งพูดคุยกับอาจารย์อยู่เป็นประจำที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ อาจารย์เข้าๆออกๆ โรงพยาบาลหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาลผมจะไปเยี่ยมและนั่งพูดคุยกับท่านเสมอ โดยท่านเองไม่อยากให้ใครมาเยี่ยมมากเพราะภูมิต้านทานของท่านอาจจะมีน้อยตามโรคที่เป็น ท่านจึงอยากให้ผมไปนั่งคุยกับท่านบ่อยๆ ผมเองก็ไปทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ระยะหลังเมื่อมีการระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิดผมจึงไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมท่านบ่อยเหมือนเดิม เพราะห่วงว่าผมจะนำไวรัสโควิดไปติดท่าน แต่เราก็ได้โทรศัพท์คุยกันตลอด ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันเสียงท่านยังสดใสมาก

อาจารย์ท่านทราบดีว่าโรคของท่านคงไม่หายแล้ว ท่านได้บอกลากับผมว่าอีกไม่นานเราคงไม่ได้คุยกันแล้วนะ ซึ่งผมก็พยายามพูดให้กำลังใจกับท่าน และท่านได้เรียกลูกๆของท่านทุกคนมาสั่งเสีย และ ให้คุณเสรี จินตนเสรี อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ และเป็นทนายความ อีกทั้งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของอาจารย์ร่างพินัยกรรมและให้ผมและคุณเสรีร่วมเป็นพยานในพินัยกรรมนี้ ต่อหน้าลูกๆท่านทั้งสามคน นอกจากนี้อาจารย์ยังเรียกผมไปสั่งเสียในเรื่องการทำพิธีกรรมทางศาสนาสำหรับงานของท่านเมื่อท่านจำเป็นต้องจากไป และขอให้ผมช่วยจัดการเรื่องต่างๆ และขอให้ผมไปงานของอาจารย์ทุกวันเพราะห่วงว่าลูกๆท่านจะทำงานไม่เรียบร้อย และอาจจะไม่ได้ดั่งใจท่าน อีกทั้งอาจจะมีแขกผู้ใหญ่ที่อยากให้ผมช่วยรับรอง ซึ่งที่จริงลูกๆของท่านทุกคนเก่งมากและจัดงานของท่านได้อย่างเรียบร้อยและสมเกียรติมาก ผมขอชื่นชมจากใจ

ผมอยู่ต่างประเทศเมื่อผมได้รับโทรศัพท์จาก คุณวรวงศ์ ลูกชายคนเล็กของอาจารย์ โทรมาแจ้งว่าอาจารย์ได้จากไปแล้ว ผมตกใจและเศร้าใจมาก ผมเองต้องรีบขึ้นเครื่องบินกลับมาเพื่อมาร่วมงานของอาจารย์ ในช่วงที่ยังกลับมาไม่ได้นั้น ผมได้โทรมาถามเรื่องการเตรียมงานของอาจารย์ตามที่อาจารย์สั่งเสียไว้ ซึ่งทราบว่าได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมกลับมาถึงประเทศไทยในวันแรกของงานรดน้ำ แต่ด้วยข้อจำกัดของการต้องกักตัว 1 วันเพื่อรอผล PCR Test ผมจึงไม่ได้ไปงานสวดอภิธรรมของอาจารย์ในวันแรก แต่หลังจากนั้นผมไปร่วมงานของอาจารย์ทุกวันตามสัญญาที่ผมให้ไว้กับอาจารย์ งานของอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหาและผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายวงการมาร่วมกันเป็นจำนวนมาก นับเป็นความภูมิใจอย่างมากของลูกหลานและลูกศิษย์อย่างผม

ผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์สำหรับความรู้ หลักคิด คำสั่งสอน คำเตือน รวมถึงความสนิทสนม และ ความเมตตาที่อาจารย์มีให้กับผมเสมอมา ผมเชื่อและมั่นใจว่าด้วยความดีและผลบุญที่อาจารย์ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศมาตลอดชีวิตในรูปแบบต่างๆ จะส่งผลให้อาจารย์ไปสู่สุคติในสัมปรายภพ และผมเชื่อว่าความดีของอาจารย์จะถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยตราบเท่านานแสนนาน

ขอแสดงความเคารพ รัก และนับถืออย่างสูง

พิชัย นริพทะพันธุ์

ลูกศิษย์ ดร. วีรพงษ์ รามางกูร

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พิชัย' จับมืออินฟลูฯผู้ติดตามรวมกว่า 10 ล้านคน ลุยโปรโมต Soft Power อาหารไทย

“พิชัย” จับมืออินฟลูดังผู้ติดตามรวมกว่า 10 ล้านคน ลุยโปรโมต Soft Power อาหารไทย ตามนโยบายรัฐบาล ตั้งเป้ายกระดับ Thai SELECT ทั้งในและตปท. เทียบชั้นมิชลินสตาร์

‘พิชัย’ เร่งเครื่องเจรจาเอฟทีเอ อาเซียน-แคนาดา

‘พิชัย’ จับมือทูตแคนาดา เร่งเครื่องเจรจาเอฟทีเอ อาเซียน-แคนาดา พร้อมนัดถกรัฐมนตรีการค้าแคนาดาช่วงประชุมเอเปคที่เปรู ขยายโอกาสการค้าในตลาดอเมริกาเหนือ

พาณิชย์คุยปิดฤดูกาลผลไม้ราคาพุ่งทุกรายการ มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท

ปิดฤดูกาลผลไม้ปี 67 อย่างงดงาม เกษตรกรยิ้ม ราคาพุ่งทุกรายการ ส่งออกผลไม้ 8 เดือนแรกเป็นบวก รวมมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท “พิชัย”สั่งเตรียมมาตรการเชิงรุกปี 68 ต่อ

นายกอิ๊งค์ เตรียม kickoff ‘โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ’ ลดค่าครองชีพต่อยอดเงินหมื่น

“นายกแพทองธาร” เตรียม kickoff “โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” พรุ่งนี้ ดึงรายใหญ่ช่วยรายเล็ก ลดค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ ต่อยอดเงินหมื่น

'พิชัย' โดดป้อง 'อิ๊งค์' ย้ำมีผลงานโดดเด่นบนเวทีโลก

“พิชัย” ยืนยันอยู่ในเหตุการณ์ ชี้ “นายกแพทองธาร”ทำผลงานโดดเด่น เป็นที่ชื่นชมในเวทีโลก แถมยังมีผลงานมาก ดึงต่างชาติลงทุน ด้านความมั่นคงทางอาหาร-ดาต้าเซนเตอร์ ขอเลิกอคติหันมาให้กำลังใจทีมประเทศไทยด้วยกัน

“พิชัย” จัด “ลดราคาสินค้าในเทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด ย้ำ “ห้ามขาด ห้ามแพง” คาดลดค่าครองชีพประชาชนได้ถึง 750 ลบ. กระตุ้นเศรษฐกิจ 2,250 ลบ.

รมว.พิชัย นริพทะพันธุ์ ประธานเปิดงาน “พาณิชย์จัดให้ ลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด” ในเทศกาลกินเจ ตั้งแต่วันที่ 3 - 11 ตุลาคม 2567 จำนวน 9 วัน