'อ.พนา'เตือนสติกองเชียร์รัสเซีย-ยูเครน ชี้ เรื่องคุณธรรม ความเท่าเทียม เป็นเพียงมายาคติ ไม่มีความเสมอภาคกันในการเมืองระหว่างประเทศ มีแต่กฎของการอยู่รอด -อำนาจเป็นธรรม
11 มี.ค.2565-ดร.พนา ทองมีอาคม นักวิชาการด้านสื่อมวลชน อดีตอาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสงครามรัสเซีย- ยูเครน มีเนื้อหาดังนี้
ไม่มีหรอกความเสมอภาคกันในการเมืองระหว่างประเทศ
เขียนเรื่องรัสเซีย-ยูเครนไปวันก่อนจากมุมมองของรัสเซีย หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ข้อมูลและทัศนะจากอีกฝ่ายบ้างเพราะข่าวสารหลัก ๆ ที่เราได้รับส่วนใหญ่มาจากมุมมองของโลกตะวันตก
ที่นี่ไม่ประสงค์จะสร้างความชอบธรรมให้ใคร หรือไม่ได้ต้องการชี้ว่าใครผิดใครถูก
ประเด็นที่เขียนไม่ใช่เรื่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยิ่งไม่ใช่การเลือกข้าง เพราะที่นี่ไม่ใช่ฝ่ายเชียร์รัสเซียหรือฝ่ายเชียร์อเมริกัน
เรื่องบางเรื่องเรารู้ไว้เฉย ๆ ก็ได้ยังไม่ต้องเอาคุณค่าส่วนตัวไปประเมินวัด ไม่ต้องไปตัดสิน จะเรียก Suspend Judgment ก็ได้
หรือถ้าจะต้องเลือกข้างจริง ๆ ก็ให้ยึดประโยชน์ของไทยนี่แหละเป็นหลัก
บังเอิญอีกว่า เรื่องรัสเซีย/ยูเครนนี้ เป็นเรื่องที่ฝักฝ่ายการเมืองในบ้านเราเกิดมีการถือหางกันเข้า
มีการเชียร์คู่สงครามแบบถือหางเชียร์กัน เกิดเหตุขึ้นก็เลือกข้างกันไปก่อน ใครชอบข้างไหนค่อยหาเหตุผลและข้อมูลมาสนับสนุนข้างตัว
ที่ไม่เก่งเรื่องเหตุผลข้อมูล ก็ท้าทายด่าทอ ตีตราความเห็นต่างที่อยู่คนละข้าง
ที่เห็นชัด ๆ เรื่องหนึ่งก็คือ มีฝ่ายที่คิดในเรื่องคุณธรรม ความเท่าเทียมของประเทศอิสระ ความเสมอภาคของรัฐ กฎหมายและความผูกพันที่ปัจจุบันมีอยู่
ในมุมมองของที่นี่ อยากจะบอกว่านั่นเป็นมายาคติ
การเมืองในระดับระหว่างประเทศถ้าจะมีกฎก็คือกฎของการอยู่รอด ถ้าจะเอาดิบ ๆ เลยก็คือกฎของอำนาจเป็นธรรม
อื่นๆ นั้นเป็นเพียงฉากบัง สร้างความชอบธรรมให้พฤติกรรมที่ก่อกันขึ้น
ถ้ามีความเสมอภาคกันจริง ทำไม 5 รัฐใหญ่ในสภาความมั่นคง UN ถึงมีสิทธิดีกว่ารัฐอื่น ๆ
ในขณะที่สมาชิกสภาความมั่นคงอื่น ๆ อยู่กันเป็นวาระพวกนี้อยู่แบบถาวร ใช้เสียงเดียววีโต้มติต่าง ๆ ของสภาก็ได้ และพวกนี้เป็นมหาอำนาจทั้งนั้น
ประเทศสมาชิกที่เหลืออื่น ๆ ก็ใช่ว่าจะมีเสียงดังเท่ากัน
เช่นอินเดียกับตองก้า ยังไง ๆ อินเดียก็เสียงดังกว่า คนเกรงใจกว่า
อินเดียมีคนพันสี่ร้อยล้าน ตองก้ามีประชาชนหนึ่งแสนคน ต่างโหวตหนึ่งเสียงเหมือนกันแต่ไม่เท่ากันหรอก
นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องประเทศใหญ่ประเทศเล็ก ประเทศรวยประเทศจน ประเทศสำคัญทางยุทธศาสตร์กับประเทศในหลืบมุม..
มองยังไงประเทศต่าง ๆในโลกมันก็ไม่เสมอภาคกัน
ในระดับโลก มันไม่มีกฎหมายบังคับได้อย่างที่คนมักเข้าใจกัน มันไม่เหมือนกฎหมายในประเทศ
ประเทศอิสระมีอธิปไตยเป็นของตัวเองทั้งนั้น ใครจะใช้อำนาจอะไรไปบังคับประเทศอิสระอีกประเทศหนึ่งได้
ที่เรียกว่าก.ม.ระหว่างประเทศนั้น จริง ๆ แล้วมันก็แค่พวกสนธิสัญญาต่าง ๆ หรือมติการประชุมที่ประเทศต่าง ๆ ยอมไปผูกพันด้วย
มีสนธิสัญญามากมายที่ผู้แทนประเทศไปร่วมจัดทำ พอเอาเข้าจริงตอนกลับมาให้สัตยาบรรณในสภาของประเทศก็ถูกเบี้ยว
ยังมีสัญญาที่ไม่มีการลงสัตยาบรรณใด ๆ บ่อยครั้งมันใช้ผูกพันกันได้เท่าที่จะยอมผูกพัน รัฐที่ไม่ยอมผูกพันจะไปทำอะไรเขา
ส่วนรัฐที่ยอมผูกพันแล้วกลับยกเลิกทีหลังหรือไปฝ่าฝืนก็มี บทลงโทษอยู่ที่ไหน ใครจะบังคับให้ ?
ที่เห็นก็ได้แต่ด่ากัน ประณาม แซงชั่น บอยคอต อะไรทำนองนั้น แค่นั้นเอง จะมีก็เรื่องใหญ่ ๆ ที่มีประเทศมหาอำนาจออกหน้าล็อบบี้ประเทศเล็ก ๆ ให้หนุนแล้วมหาอำนาจอื่นไม่วีโต้ ตอนนั้นแหละที่เราอาจเห็นแอ๊คชั่นการรบ เช่นในกรณีอิรัคบุกคูเวต
เรื่องพรมแดนก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อ
พรมแดนคือเส้นประดิษฐ์ ถ้าประเทศสองฝั่งตกลงยอมรับกันมันก็มีอยู่ ถ้าไม่ยอมกันเช่นอินเดียกับจีน มีจุดที่เห็นไม่ตรงกัน ต่างคนต่างก็ขีดกันคนละเส้น ผลสุดท้ายก็ยันกันด้วยปืน แนวยันกันเรียก LAC หรือ Line of Actual Control หยุดกันอยู่ตรงนั้น แต่นั่นไม่ใช่พรมแดนแท้จริงที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
อย่างกรณี ฟอล์คแลนด์ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ใช้กำลังดิบ ๆ กัน
อาร์เจนติน่าอ้างประวัติศาสตร์ว่าเกาะชื่อมัลวีน่านี้เคยเป็นของตน อังกฤษบอกไม่ใช่นี่คือเกาะฟอล์คแลนด์
อาร์เจนติน่าที่อยู่ใกล้เกาะแค่ 3-4 ร้อยก.ม. เจรจาขอเกาะคืนไม่ได้ก็ยกทัพไปยึดดื้อ ๆ อังกฤษที่อยู่ห่างไปเป็นหมื่นกิโลก็ยกกองทัพไปยึดคืน นี่เป็นอำนาจดิบ ๆ แม้ตอนนี้มีการให้สัมปทานทับซ้อนในทะเลก็ออกกันดื้อ ๆ ออกด้วยอำนาจดิบ ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้พึ่งศาลหรือพึ่งก.ม.ใด ๆ
รัฐต่าง ๆ ในโลกนี้มักตั้งอยู่กันยาวนาน บางทีชื่อประเทศเปลี่ยน เอกราชเปลี่ยน พรมแดนเปลี่ยน เช่น จีนอ้างยึดทิเบตเพราะเคยเป็นของจีนยุคราชวงศ์ชิง ทิเบตเพิ่งแยกไปเมื่อจีนยุ่ง ๆ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ พอจีนสงบก็ยึดกลับคืน ซินเกียงก็อ้างประวัติศาสตร์เก่า อิสราเอลอ้างประวัติศาสตร์พันปีเอาดินแดนคืนก็ยังมี
หรือบอสเนีย อาร์เซอร์ไบจัน ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปมา
กรณีสำคัญ ๆ เช่นแค่เมืองเยรูซาเล็ม ศาสนาสองสามศาสนาก็มีประวัติศาสตร์อยู่ที่นั่น โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็สร้างทับกันไปมา มันไม่มีจุดบอกได้ว่าที่ตรงนั้นของใคร
ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมหาอำนาจขีดเส้น แล้วประเทศที่เข้มแข็งก็ใช้กำลังทหารบังคับกันเท่านั้น
กรณีที่ยังบังคับกันไม่ได้ก็ตั้งประจันกันไปก่อนเช่น เกาะเซนกากุ /เตียวหยู ระหว่างญี่ปุ่นและจีน เกาะคูริล/ซัคคารินระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย รัฐแคชเมียร์ระหว่างปากีสถานและอินเดีย
ที่เขียนมายืดยาวนี้ ขอบอกอีกครั้งว่า ไม่ได้จะสร้างความชอบธรรมให้ใคร แค่อยากชี้ว่าในระดับระหว่างประเทศแล้ว อำนาจดิบ ๆ ยังเป็นตัวกำหนด
การเจรจาอาจช่วยได้บ้าง เพราะสังคมโลกยังไม่มีวิธียุติที่ดีกว่านั้น
แต่ท้ายสุดแล้วเมื่อยังเห็นต่างกัน ประเทศมหาอำนาจที่มีกำลังคุ้มครองอาณาเขตของตัวเองได้เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดพรมแดน
และพวกเขายังกำหนดกติกาขึ้นเพื่อใช้บังคับกันด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามในยูเครนสร้างความเสียหายต่อสภาพภูมิอากาศโลกแค่ไหน?
ความขัดแย้งทางทหารและกองกำลังติดอาวุธเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศที่ใหญ่ที่สุด กลุ่ม Scientists f
นักวิชาการบอกหากมีรัฐประหารอีกไทยอาจถูกมหาอำนาจแทรกแซง!
ครบรอบ 10 ปีรัฐประหาร คสช.คาดหวังเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้าย หากเกิดรัฐประหารอีกในอนาคตจะสร้างความเสียหายรุนแรง อาจเปิดโอกาสนำไปสู่การแทรกแซงทางการเมืองของมหาอำนาจ
สุ่มเสี่ยง! 'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' เตือนไม่ควรให้ผู้ใหญ่ลงพื้นที่สู้รบ หวั่นถูกตีความส่งสัญญาณผิด
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ สุ่มเสี่ยง มีเนื้อหาดังนี้
'เซเลนสกี' สั่งปลดที่ปรึกษาออกหลายคน
ช่วงที่ผ่านมา ประธานาธิบดียูเครนได้เปลี่ยนที่ปรึกษาหลายครั้ง สื่อคาดว่าจะมีการปรับรัฐบาลเร็วๆ นี้ ในขณะที่ วิตาลี คลิตช์โก
'อังคนา' เผยสหประชาชาติจี้ไทยรับผิดชอบการสูญหายของ 'ทนายสมชาย' เมื่อ20ปีก่อน
นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักเคลื่อนไหวสตรี ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร นักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมชาวไทยที่หายสาบสูญ โพสต์ข่าวสารจากเว็บไซต์ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ว่า
'เซเลนสกี' ชี้หนังสารคดีรางวัลออสการ์แสดงให้เห็นถึงการก่อการร้ายของรัสเซีย
โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน แสดงความยินดีกับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ’20 Days in Mariupol’ ที่ได้รับรางวัลออสการ์