เรียกเสียงฮือฮา เมื่อ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS กลายเป็นผู้ชนะประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ พ่วงเอฟเอ คัพ มูลค่ามหาศาล ราว 1.9 หมื่นล้านบาท สำหรับการถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกสูงสุดของเมืองผู้ดี ตลอด 6 ฤดูกาล ใน 3 ประเทศ ทั้ง ไทย, กัมพูชา และลาว
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เป็นของ ทรูวิชั่นส์ มาตลอด 6 ฤดูกาลหลังสุด หรือตั้งแต่เมื่อปี 2019 โดยพวกเขาชนะการประมูลทั้งหมด 2 รอบ แบ่งเป็น 2019-2022 และ 2022-2025 ซึ่งก็เป็นปกติตามธรรมเนียม เมื่อสัญญาของผู้ถือลิขสิทธิ์เจ้าปัจจุบันกำลังจะหมดลงในปีหน้า ทาง พรีเมียร์ ลีก ก็จะทำการเปิดประมูลรอบใหม่
การประมูลดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 มีการเปิดเผยว่าผู้ที่เข้าร่วมการประมูลนั้นมีด้วยกัน 4 เจ้าในไทย โดย 2 ใน 4 ได้แก่ ทรูวิชั่นส์ เจ้าของลิขสิทธิ์เดิม และ JAS ส่วนอีก 2 บริษัท ไม่มีการเปิดเผย แต่คาดว่าหนึ่งในนั้นอาจเป็น BG Sports ของกลุ่มทุนบุญรอด โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้อ็อปชั่นพิเศษ คือเจ้าของลิขสิทธิ์รายใหม่มีสิทธิ์เซ็นสัญญายาวถึง 6 ปี หรือจะเลือกเซ็นแค่ 3 ปีตามเดิมก็ได้
สุดท้าย JAS ก็ชนะการประมูลในครั้งนี้ไป กลายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ยาว 6 ซีซั่น โดยมีการเปิดเผยว่าพวกเขายื่นตัวเลขตูมเดียวไปที่ 560 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 19,000 หมื่นบาท เพื่อเผด็จศึกในการคว้าชัยชนะหนนี้ และผลลัพธ์นั้นก็ได้ผล ทางเจ้าของลิขสิทธิ์เดิมอย่าง ทรูวิชั่นส์ มองว่าตัวเลขดังกล่าวสูงจนเกินไป และไม่ได้บิดข้อเสนอไปสู้ ทำให้การประมูลในหนนี้จบลงค่อนข้างรวดเร็ว
- บริษัท จัสมินฯ (JAS) คือใคร
สำหรับ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS นำโดย พิชญ์ โพธารามิก หุ้นส่วนใหญ่ โดยมี ดร. โสรัชย์ อัศวะประภา นั่งตำแหน่งซีอีโอ ซึ่งในส่วนของนาย พิชญ์ นั้น หลายคนอาจจะพอรู้จักกันอยู่บ้าง เพราะเขาคือลูกชายของ อดิศัย โพธารามิก นักการเมืองชื่อดัง
ปัจจุบัน พิชญ์ โพธารามิก ถือหุ้นใหญ่มากถึง 19 บริษัท โดยดำเนินกิจการอยู่ 10 บริษัท เลิกกิจการไปแล้ว 4 บริษัท และอีก 5 บริษัท ยังแสดงสถานะกิจการเสร็จการชำระบัญชี และมีชื่อเป็นกรรมการอีกถึง 22 บริษัท แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือ พิชญ์ และพรรคพวก เป็นหนึ่งในเศรษฐีไม่กี่รายของไทยที่มี VIP BOX ในสนามแอนฟิลด์ และเขาก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ ลิเวอร์พูล ตัวยงอีกด้วย
ที่สำคัญคือเม็ดเงินที่พวกเขานำมายื่นประมูลนั้นคาดว่าเป็นตัวเงินที่จากที่ขายธุรกิจอินเตอร์เน็ต 3BB ไปให้แก่ AIS ซึ่งเป็นตัวเลขสูงถึง 32,420 ล้านบาท เมื่อปี 2022 เพราะฉะนั้นแล้วด้วยเงินก้อนโตที่พวกเขาคว้ามาตอนนั้น ก็สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจต่างๆ ได้อีกมากมาย
- ดูผ่านแอปฯ จ่ายเดือนละ 400 บาท
แฟนบอลชาวไทยจะสามารถรับชมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกผ่านทางแอปพลิเคชั่น MONOMAX เป็นหลัก แต่ยังไม่ชัวร์ว่าคอบอลที่ชอบรับชมผ่านจอคอมพิวเตอร์หรือ โน้ตบุ๊ค จะสามารถดูถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือแต่ละสัปดาห์จะมียิงสดผ่านฟรีทีวีช่อง MONO29 นอกจากนี้ยังสามารถรับชมผ่านเครือข่ายมือถือทุกค่าย รวมถึงแอปพลิเคชันบน iOS และ Google Play Store เพื่อให้แฟนบอลเข้าถึงได้อย่างสะดวกและครอบคลุมที่สุด
ซีอีโอของ JAS ยืนยันว่าพวกเขาจะนำเสนอราคาที่ต่ำกว่าตลาดปัจจุบัน และถูกกว่าเจ้าของลิขสิทธิ์เดิม อย่าง ทรูวิชั่นส์ โดยตั้งเป้าราคาอยู่ที่ไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน และจะเป็นราคาเดียวไม่ว่าจะรับชมผ่านช่องทางใดก็ตาม
ส่วนคุณภาพของการถ่ายทอด JAS ตั้งเป้าให้สัญญาณคมชัดระดับ Full-HD และรองรับ 4K สำหรับบางแมตช์ในอนาคต พร้อมเทคโนโลยี Auto Bit Rate ที่ปรับคุณภาพภาพตามความเร็วอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ของผู้ชม เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แฟนบอล
นอกเหนือไปจากนี้ ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ซีอีโอ JAS ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าพวกเขาพร้อมเปิดกว้างเป็นพันธมิตรกับทุกค่าย ไม่เกี่ยงแม้กระทั่งเจ้าของลิขสิทธิ์เดิมอย่างทรูวิชั่นส์ ถ้าสามารถคุย หรือเจรจากันได้ ก็พร้อมดีลทันที รวมไปถึงทีวีดิจิตอลช่องอื่นๆ ถ้าสนใจร่วมแจมก็เปิดโต๊ะเจรจากันได้ เพราะฉะนั้นแฟนบอลชาวไทยมั่นใจได้เลยว่าการดูบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ตั้งแต่ซีซั่นหน้าเป็นต้นไปนั้นจะได้รับชมผ่านฟรีทีวีด้วยแน่นอน
- วัดความสามารถในการสร้างคอนเทนต์
แน่นอนว่าคอนเทนต์หลักต่อจากนี้ของ JAS คือฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ แต่สิ่งที่นอกเหนือจากนั้นคือการพยายามสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับฟุตบอลให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดแฟนๆ ให้เข้าไปสมัครเป็นสมาชิก และรับชมฟุตบอลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งเอาจริงๆ ที่ผ่านมา JAS ก็เคยผ่านงานด้านกีฬามาแล้วค่อนข้างเยอะ ทั้งการบริหารทีมบาสเกตบอลอาชีพ MONO Vampire ที่ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก รวมไปถึงทีมอีสปอร์ตที่สร้างแชมป์โลก PUBG-Mobile มาแล้ว หรือการถ่ายทอดสดตะกร้อไทยลีก, มวยปล้ำ WWE, รถแข่ง ฯลฯ
เพราะฉะนั้นการหันมาจับฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก แบบจริงๆ จังๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ยากสำหรับพวกเขา แม้อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์บริหารการถ่ายทอดสดคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกแบบนี้มาก่อน แต่เชื่อได้ว่าด้วยประสบการณ์ของพวกเขา โดยเฉพาะบริษัทแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในเจ้าพ่อของการทำเครือข่ายอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของไทยมาก่อน ก็น่าจะรับมือได้ไม่ยากเกินความสามารถ
ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเดินหน้าไปในทิศทางใด แต่ก็เชื่อได้เลยว่าแฟนฟุตบอลน่าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเจ้าของลิขสิทธิ์แน่ๆ หลังจากนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็ต้องมารอดูกันว่าพวกเขาจะทำได้ดีเพียงใดกับรายการฟุตบอลยักษ์ใหญ่ระดับโลกในอีก 3 หรือ 6 ปี ต่อจากนี้
