การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทัพไทยเครื่องร้อน เปิดฉากคว้าเหรียญทองสำเร็จแล้ว พร้อมเร่งเครื่องทำผลงานยอดเยี่ยมในหลายรายการ
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. (เวลาท้องถิ่น) เหรียญทองแรกของทัพพาราลิมปิกไทย ใน "ปารีส 2024" มาที่สนามสตาด เดอ ฟรองซ์ จาก วีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T53 รอบชิงชนะเลิศ "กร" พงศกร แปยอ วัย 27 ปี ตัวเต็งของรุ่น ดีกรีแชมป์โลก-แชมป์เก่า 2 สมัย เป็นเจ้าของสถิติโลก(46.11วินาที) และสถิติพาราลิมปิกเกมส์(46.61 วินาที) ยังทำผลงานสุดยอด เข้าเส้นชัยอันดับ 1 เวลา 46.77 วินาที เอาชนะเหรียญเงิน เบรนต์ ลากาตอส จากแคนาดา 47.24 วินาที และทองแดง ไบรอัน ซีมันน์ จากสหรัฐ 47.84 วินาที ขณะที่นักกีฬาไทยอีก 2 คน "เชษฐ์" พิเชษฐ์ กรุงเกตุ ที่ 4 เวลา 48.62 วินาที และ "ลี" มะสบือรี อาแซ ที่ 7 เวลา 50.45 วินาที
เหรียญนี้นับเป็นนับเป็นเหรียญทองพาราลิมปิกที่ 6 ของ พงศกร เขายังมีลุ้นในอีเวนต์ 100 เมตร กับ 800 เมตร โดยเจ้าตัวกล่าวว่า “ดีใจที่ป้องกันแชมป์สมัย 3 ในพาราลิมปิกครั้งที่ 3 ในชีวิต ปลดล็อกอะไรหลายอย่าง มีความกดดันอยู่บ้าง เป็นเหรียญทองแรกของประเทศไทยด้วย ระยะเวลาการซ้อมมีผลในการทำเหรียญ และความอดทนตลอดการซ้อม 3 ปีที่ผ่านมา วินาทีที่เข้าเส้นชัย ดีใจมากจนต้องตะโกน ตอนนี้เหลือ 100 เมตร แข่งวันที่ 4 ก.ย. กับ 800 เมตร วันที่ 5 ก.ย. ฝากพี่น้องชาวไทยช่วยเชียร์ทัพกีฬาคนพิการไทยสู้ศึกพาราลิมปิก”
นอกจากนี้ วีลแชร์เรซซิ่งไทยยังเก็บอีก 1 เหรียญเงินจาก ประเภท 400 เมตรชาย คลาส T54 "ฟิวส์" อธิวัฒน์ แพงเหนือ เวลา 44.67 วินาที โดยเหรียญทอง หยุนเฉียงไต จากจีน 44.55 วินาที ส่วน "พอส" พิพัฒน์พงศ์ เสียงล้ำ เข้าที่ 7 เวลา 46.59 วินาที
อีกเหรียญทอง ได้จากบอคเซีย ที่ เซาธ์ ปารีส อารีนา 1 บุคคล BC2 "เจมส์" วรวุฒิ แสงอำภา คว้าแชมป์สำเร็จ หลังจากรอบรองชนะเลิศ เปิดศึกสายเลือด ชนะ "ต่อ" วัชรพล วงษา 9-1 เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ พบ มูฮัมหมัด บินตัง จากอินโดนีเซีย ก่อนที่ วรวุฒิ แสงอำภา ชนะ 6-1 คว้าเหรียญทองเพิ่มให้ทัพไทย และเป็นการคว้าเหรียญทองพาราลิมปิกเกมส์ 3 สมัยซ้อน หลังจากได้ในประเภททีมมาใน 2 ครั้งก่อนหน้า
ขณะที่ วัชรพล วงษา เก็บเหรียญทองแดงได้ รอบชิงอันดับ 3 ชนะ โรเบิร์ต เมซิก จากสโลวาเกีย 3-2
เหรียญทองที่ 3 ได้จากชัยวัฒน์ รัตนะ จากการแข่งขันกรีฑา วีลแชร์เรซซิง 100 เมตร คลาส T34 เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 กับเวลา 14.76 วินาที และเป็นเวลาที่ทำลายสถิติพาราลิมปิกอีกครั้งของเจ้าตัว
แบดมินตัน ที่ ลา ชาเปลล์ อารีนา หญิงคู่ WH1-WH2 รอบชิงเหรียญทองแดง "ปุ๊" สุจิรัตน์ ปุกคำ- "แก่น" อำนวย เวชวิฐาน ชนะคู่มือ 2 จากสวิตเซอร์แลนด์ ซินเธีย มาเธซ - อิลาเรีย เรงกลี ดุเดือด 2-0 เกม 22-20 และ 27-25 คว้าเหรียญทองแดง
เทเบิลเทนนิส ที่เซาธ์ ปารีส อารีนา 4 ไทยได้ 2 เหรียญเงิน เริ่มจาก คู่ผสม คลาส XD7 รอบชิงชนะเลิศ "เป้" ยุทธจักร กลิ่นบานชื่น กับ "ปุ๋ย" วิจิตรา ใจอ่อน แพ้จีน 1-3 เกม 13-11, 7-11, 9-11, 8-11 หลังแข่งขัน วิจิตรา กล่าวว่า “ยอมรับว่ายาก แต่ก็ทำเต็มที่แล้ว ไม่เสียดาย คนเต็มสนามเสียงดังมาก สนุก ขอบคุณเพื่อนร่วมทีมที่สนุกด้วยกัน ลำบากด้วยกัน ส่วน ยุทธจักร กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมา อยากจะคว้าเหรียญทอง เสียดาย จังหวะในเกมผิดพลาดบ้าง ต้องขอโทษชาวไทย ขอบคุณ วิจิตรา ที่ช่วยกันจนเข้ารอบชิงฯได้”
อีก 1 เหรียญเงินปิงปอง ชายคู่ คลาส MD14 คู่มือ 1 รุ่งโรจน์ ไทยนิยม กับ "เซ้ง" พิสิษฐ์ หวังผลพัฒนศิริ รอบชิงชนะเลิศ แพ้จีน 1-3 เกม 11-6, 8-11, 9-11, 7-11 รุ่งโรจน์ กล่าวว่า “คู่แข่งบุกดี ต้องวางจุดละเอียด ทำให้กดดัน ฝากแฟนชาวไทยเชียร์ทัพไทยในพาราลิมปิก ทุกกำลังใจมีส่วนสำคัญ” ส่วน พิสิษฐ์ ยอมรับว่า “จริงๆ อยากได้เหรียญทอง มีจุดผิดพลาดด้วยประสบการณ์ แต่ทุ่มหมดแล้ว จะเริ่มใหม่ ไปซ้อมใหม่ ก่อนหน้านี้ก็ซ้อมมาหลายปี ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน การไปเก็บตัวที่เมืองลียง ช่วยได้มาก”
สรุปผลงาน หลังจบการแข่งขันวันที่ 2 ก.ย. ทัพไทย คว้าไปแล้ว 3 เหรียญทอง, 3 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง อยู่อันดับ 20 ของตารางเหรียญ
สำหรับเกณฑ์เงินรางวัลนักกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ จากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ นักกีฬาได้เป็นรายบุคคล เหรียญทอง 7.2 ล้านบาท, เหรียญเงิน 4.8 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 3 ล้านบาท (แบบแบ่งจ่ายทันที 50% ส่วนอีก 50% จ่ายเป็นเงินเดือน ภายใน 4 ปี)