ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป "ยูโร 2024" เดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย คืนนี้วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม มีลงสนามฟาดแข้งกัน 2 คู่ ขวัญใจมหาชน "สิงโตคำราม" ทีมชาติอังกฤษ พบกับ "แดนนาฬิกา" ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ แข่งขัน 23.00น. พีพีทีวี เอชดี หมายเลข 36 ยิงสด
อังกฤษ ฟอร์มการเล่นไม่เป็นตามที่แฟนๆ คาดหวัง รอบ 16 ทีมสุดท้าย เกือบเอาตัวไม่รอด โชคดีที่มาได้ประตูปาฏิหาริย์สุดสวยจากการจักรยานอากาศยิงของ จู๊ด เบลลิงแฮม ซูเปอร์สตาร์ดาวรุ่งจากรีล มาดริด ตีเสมอ สโลวาเกีย 1-1 ก่อนจะมาได้ประตูชัยจาก แฮร์รี เคน ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที เข้ารอบมาแบบหืดจับ
ด้าน สวิตเซอร์แลนด์ ก็ไม่ได้พลิกความคาดหมายเท่าไหร่ เพราะพวกเขามักเป็นขาประจำที่สามารถตีตั๋วรอบลึกๆ ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ เสมอ แต่ที่หักปากกาเซียนหลายสำนักคือการโค่น อิตาลี แชมป์เก่ายูโร 2020 ในรอบ 16 ทีม ด้วยรูปเกมที่ดูเหนือกว่าด้วยซ้ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจของตัวเองก่อนดวลกับ อังกฤษ
- สภาพความพร้อมของทั้งสองทีม
มีรายงานจากสื่ออังกฤษที่ออกมาเปิดเผยว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต อาจมีการเปลี่ยนแปลงแท็คติกมาใช้ปราการหลัง 3 คน แต่พวกเขาจะไม่สามารถใช้งาน มาร์ค เกฮี ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลือง อาจต้องจับเอา ไคล์ วอล์คเกอร์ มาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฝั่งขวา ร่วมกับ จอห์น สโตนส์ และเอซรี คอนซา ส่วน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะถูกจับไปเล่นตำแหน่งถนัด คือวิงแบ็คขวา บูกาโย ซากา ประจำการฝั่งซ้าย พร้อมส่ง จู๊ด เบลลิงแฮม ขับเคลื่อนเกมรุกร่วมกับ ฟิล โฟเดน โดยมี แฮร์รี เคน ยืนหน้าเป้า
ด้าน สวิตเซอร์แลนด์ ของกุนซือ มูรัต ยาคิน เกมนี้ไร้ปัญหาผู้เล่นได้รับบาดเจ็บหรือติดโทษแบน และยังได้รับข่าวดี คือ ซิลวาน วิดเมอร์ พ้นโทษแบนจากเกมก่อนกลับมาช่วยทีมได้แล้วในตำแหน่งแบ็คขวา คาดว่าเกมนี้ สวิส จะจัดผู้เล่นคล้ายๆกับเกมที่เอาชนะ อิตาลี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดย บรีล เอ็มโบโล, แดน เอ็นดอย และรูเบน วาร์กัส ประสานงานเกมรุก ส่วน กรานิต ซากา กับ เรโม ฟรอยเลอร์ คุมแดนกลาง
- รายชื่อ 11 ตัวจริง ที่คาดว่าจะลงสนาม
อังกฤษ : จอร์แดน พิคฟอร์ด (GK) - ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, เอซรี คอนซา - เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ดีแคลน ไรซ์, ค็อบบี ไมนู, บูกาโย ซากา - จู๊ด เบลลิงแฮม, ฟิล โฟเดน - แฮร์รี เคน
สวิตเซอร์แลนด์ : ยานน์ ซอมเมอร์ (GK) - มานูเอล อคานจี, ฟาเบียน แชร์, ริคาร์โด โรดริเกซ – ซิลวาน วิดเมอร์, กรานิต ซากา, เรโม ฟรอยเลอร์, มิเชล เอบิสเชอร์ - รูเบน วาร์กัส, แดน เอ็นดอย - บรีล เอ็มโบโล
- สกอร์ที่คาด
แม้ อังกฤษ จะผลงานไม่เปรี้ยงปร้างตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม แต่เมื่อเข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ พวกเขามักจะทำได้ดีเสมอ เหมือนกับตอน ยูโร 2020 ที่พวกเขาได้รองแชมป์ ดูแล้วเกมนี้ "สิงโตคำราม" ที่มีการเปลี่ยนแปลงแท็คติกการเล่น น่าจะทำได้ดีกว่าสวิส อังกฤษอาจดีพอเอาชนะในช่วงเวลาปกติ 90 นาที 2-1
ส่วนการแข่งขันอีก 1 คู่ ในคืนเดียวกัน เวลา 02.00น. (เช้าตรู่ 7 ก.ค. เวลาไทย) พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 ถ่ายทอดสด ถือว่าน่าดูเป็นอย่างยิ่ง โดย เนเธอร์แลนด์ส อดีตแชมป์เมื่อปี 1988 ที่ฟอร์มแรงมากในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ไล่ถล่ม โรมาเนีย 3-0 มีเกมรุกที่จี๊ดจ๊าดพอสมควร ซึ่งปีนี้พวกเขาคาดหวังเอาไว้สูงว่าจะสามารถผ่านเข้ารอบตัดเชือกให้ได้เป็นอย่างน้อย
สภาพทีมในเกมนี้ เนเธอร์แลนด์ส จะไม่สามารถใช้งาน มัตไธจ์ส เดอ ลิกต์ ปราการหลังตัวเก่งที่เป็นไข้ แต่ในทัวร์นาเมนต์นี้เจ้าตัวไม่ใช่ผู้เล่นตัวหลักอยู่แล้ว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จะประสานงานเกมรับกับ สเตฟาน เดอ ฟรายจ์ ส่วน 3 แนวรุก นำโดย โคดี กักโป, เมมฟิส เดปาย และชาบี ซิมอนส์
ด้าน ตุรกี ของกุนซือวินเชนโซ มอนเตลลา ที่รอบก่อนพลิกล็อกเอาชนะ ออสเตรีย 2-1 และถูกจับตามองว่าอาจเป็นม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์นี้ เกมนี้จะไม่สามารถใช้งาน ออร์คุน ก็อกคู กับ อิสมาอิล ยุคเซ็ค ที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลือง ส่วนตัวอื่นๆ อยู่กันครบ นำโดย อาร์ดา กูแลร์, คีแนน ยิลดิซ, บาริส ยิลมาซ, เมรีห์ เดมิรัล และเมิร์ต กูน็อค นายทวารจอมหนึบ
ถึงแม้ชื่อชั้นของ เนเธอร์แลนด์ส จะดูเหลื่อมกว่า แต่ ตุรกี มักทำได้ดีเสมอในทัวร์นาเมนต์ยูโร และนี่เป็นรอบ 8 ทีมสุดท้าย ไม่มีงานง่ายอยู่แล้ว รูปเกม "อัศวินสีส้ม" อาจดูเหนือกว่า แต่ทีม "ไก่งวง" อาจดีพอจะยื้อไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ หรืออาจต้องชิงดำในการดวลจุดโทษเลยทีเดียว