ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป "ยูโร 2024" ผ่านพ้นรอบแบ่งกลุ่มไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ถือว่ามีพลิกโผอยู่บ้างเล็กน้อย ทั้งการจบรองแชมป์กลุ่ม ดี ของ ฝรั่งเศส ที่ทำให้พวกเขาต้องขึ้นไปอยู่สายบน ในรอบน็อกเอาท์ มีโอกาสต้องเจอกับยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สเปน, เยอรมนี, โปรตุเกส หากจะหวังเข้าไปเล่นในรอบชิงฯ โดยโปรแกรมในรอบ 16 ทีมสุดท้ายจะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้งคือวันที่ 29 มิถุนายนนี้
ขณะที่ขวัญใจมหาชนทีมชาติอังกฤษ เรียกว่าหืดจับมิใช่น้อย ชนะได้เพียงนัดเดียว เสมอ 2 นัด มี 5 แต้ม ยิงได้แค่ 2 ประตู เสีย 1 ประตู ยังดีที่คู่แข่งในกลุ่มเดียวกันก็ไม่ได้มีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นอะไรมากมาย ทำให้ 5 คะแนนของพวกเขาเพียงพอต่อการเข้ารอบน็อกเอาท์ในฐานะแชมป์กลุ่ม ซี
แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือสิงโตคำราม ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง ทั้งแท็คติกการเล่น หรือการจัดตัวนักเตะลงสนามเป็น 11 คนแรก โอเคที่เราสามารถเข้าใจได้ว่าเกมนัดแรกในยูโร 2024 อาจเป็นการทดลองอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะการเอา เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางที่ไม่ใช่ตำแหน่งถนัด
การยืนกลางของ เทรนต์ ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไร เพราะเขาเคยทำหน้าที่ตรงนี้กับต้นสังกัด ลิเวอร์พูล แต่ในแง่ของแท็คติกระหว่าง 2 กุนซือ อย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ และแกเร็ธ เซาธ์เกต นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อ เทรนต์ มายืนมิดฟิลด์กับทีมชาติอังกฤษในช่วงหลัง ฟอร์มของเขาดร็อปลงไปอย่างน่าใจหาย
เทรนต์ ไม่สามารถวิ่งไล่บอลช่วย ดีแคลน ไรซ์ ได้ แถมการเชื่อมเกมของเขาก็ยังทำได้ไม่ดี เพราะไม่สามารถเลี้ยงกินตัว หรือหาพื้นที่ในการรับบอลที่ดีได้ ภาระหนักจึงตกอยู่ที่กองกลางจาก อาร์เซน่อล ที่ต้องวิ่งวุ่นจนหัวปั่น แถม จู๊ด เบลลิงแฮม ที่มักจะทำได้ดีเมื่ออยู่หน้ากรอบเขตโทษ ก็ต้องลงมาช่วยล้วงบอล เพราะตัวของ เทรนต์ นั้นเล่นไม่ได้
ขณะเดียวกัน 2 นัดเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีกับต้นสังกัดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้ง ค็อบบี เมนู และโคล พาลเมอร์ กลับถูกดร็อปเป็นตัวสำรองตลอดทั้ง 3 นัด ซึ่งเมื่อทั้ง 2 คน ถูกส่งลงสนาม ก็มักจะทำได้ดี และมีช็อตเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้เสมอ
โดยเฉพาะ ค็อบบี เมนู ดาวรุ่งจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สถิติในเกมพบ สโลวีเนีย ในช่วงที่เขาถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงครึ่งหลัง มีโอกาสอยู่ในสนาม 45 นาที กลับทำได้ดีกว่าทั้ง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เสียอีก
เปิดบอลสำเร็จ 100 เปอร์เซนต์ (2 จาก 2 ครั้ง), เข้าปะทะสำเร็จ 100 เปอร์เซนต์ (2 จาก 2 ครั้ง), ผ่านบอลสำเร็จ 33 จาก 34 ครั้ง เอาชนะการดวลกับคู่ต่อสู้ 3 ครั้ง (เลี้ยง 1 ครั้ง โหม่ง 2 ครั้ง) ถือว่าเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมสำหรับเจ้าหนูที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ และลงเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่กับ "สิงโตคำราม" เป็นครั้งแรกในชีวิต
นี่ยังไม่รวม แอนโธนี กอร์ดอน ที่ในทัวร์นาเมนต์นี้ดูจะทำได้ดีกว่า ฟิล โฟเดน เพราะเมื่อเขาลงสนามมาทีไร มักจะสร้างความปั่นป่วนทำริมเส้นฝั่งซ้ายได้ดีกว่าแข้งจาก แมนฯ ซิตี เป็นอย่างมาก
ดูแล้ว แกเร็ธ เซาธ์เกต มีการบ้านที่ต้องกลับไปทำอีกมากโข หากหวังจะพา อังกฤษ เถลิงแชมป์ยูโร 2024 มาครอบครอง ซึ่งก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มพวกเขาถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่ง แต่เมื่อผ่านรอบแบ่งกลุ่มไป กลายเป็นเจ้าภาพเยอรมนี และสเปน ที่ทำได้โดดเด่นกว่า กลายมาเป็นทีมเต็งแทน
สิ่้งสำคัญที่ควรจัดการก่อนอันดับแรกคือการจัดตัวผู้เล่นลงสนาม เซาธ์เกต ควรประเมินนักเตะให้ละเอียดกว่านี้ว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะออกสตาร์ทเป็น 11 คนแรก ไม่ใช่ยึดแต่ผู้เล่นที่เขามั่นใจเพียงอย่างเดียว แต่พอเล่นออกมาแล้วประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ
ยิ่งรอบต่อไปเป็นรอบน็อกเอาท์ ถ้าแพ้ก็จอดป้าย เซาธ์เกต ไม่มีเวลาให้ได้ทดลองอะไรอีกแล้ว เพราะสุดท้ายถ้าตัวผู้เล่นที่จัดลงไปตั้งแต่แรกแล้วมันไม่เวิร์ค การจะมาแก้เกมเอาครึ่งหลังก็อาจไม่ทันการ ขืนยังดื้อน้ำตาอาจจะตกอย่างรวดเร็วตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ได้
หรือมันอาจจะจริงอย่างที่เขาบอก ซึ่งเรามักจะได้ยินประโยคนี้มาหลายปี ว่า ทีมชาติอังกฤษชุดนี้มีดีทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้รักษาประตู กองหลัง กองกลาง และกองหน้า แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้ "สิงโตคำราม" ไม่ประสบความสำเร็จ คือเฮดโค้ชที่ชื่อ แกเร็ธ เซาธ์เกต คนนี้นี่เอง