เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีจากสหราชอาณาจักร เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก อย่าง “เอเนออส” คอนเฟิร์มยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเพื่อเข้าเทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากตระกูลเกลเซอร์ เมื่อคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ กลุ่มทุนจากประเทศกาตาร์ นำโดย ชีค จัสซิม บิน ฮาหมัด อัลธานี ลูกนายของอดีตนายกรัฐมนตรี อย่าง ฮาหมัด บิน จัสซิม บิน จาเบอร์ อัลธานี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัทกาตาร์ อิสลามิค แบงค์ ยื่นข้อเสนอเพื่อเข้าซื้อกิจการบริหาร “ปีศาจแดง” ไปแล้ว
ล่าสุดถึงคิวของ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีจากสหราชอาณาจักร ที่แสดงเจตจำนงมาเป็นเวลานานว่าต้องการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร และตัวเองก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเมืองแมนเชสเตอร์ ถือเป็นบ้านเกิดของเขาอีกด้วย
“ทางเราได้ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการ และมองเห็นถึงแผนระยะยาวของสโมสรในฐานะแฟนบอลและชุมชน พวกเรามีความทะเยอทะยานและความกระหาย พวกเราอยากจะลงทุนกับสโมสรเพื่อให้เป็นสโมสรอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง” แถลงการณ์จากกลุ่มทุนของเซอร์จิม
“เรารับรู้ว่าฟุตบอลในประเทศนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน และเราอยากจะช่วยพัฒนาทีมนี้ให้ก้าวหน้าต่อไปด้วยการนำวัฒนธรรมฟุตบอลอังกฤษผสมผสานกับฟุตบอลสมัยใหม่ พร้อมก่อตั้งกลุ่มแฟนคลับที่สามารถเข้าถึงเจ้าของสโมสรได้”
“เราอยากให้สโมสรแห่งนี้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์และรากฐานของ อังกฤษตะวันตกเปลี่ยนเมืองแมนเชสเตอร์ให้เป็นสีแดงอีกครั้งโดยมี Champions League เป็นเป้าหมายสูงสุด” มหาเศรษฐีจากสหราชอาณาจักร กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ตามการรายงานจาก “ดิ แอธเลติก” สื่อชั้นนำของอังกฤษ รายงานว่า ข้อเสนอของเซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มีการระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการเข้ามาเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ของสโมสร ซึ่งแตกต่างจากข้อเสนอของกลุ่มทุนจากกาตาร์ที่ต้องการถือหุ้นแบบเบ็ดเสร็จทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์
นอกจากกลุ่มทุนของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ แล้ว ล่าสุดมีการยืนยันว่า กลุ่มทุนเอเลียตต์ จากสหรัฐอเมริกา เป็นกลุ่มทุนที่ 3 ที่ยื่นข้อเสนอเทคโอเวอร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจากเซอร์จิม และกาตาร์ ก่อนเวลาเดดไลน์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
สำหรับกลุ่มทุนจากแดนลุงแซมได้มีการยื่นข้อเสนอจำนวน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 4.1 พันล้านปอนด์ เพื่อเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ สำหรับเจ้าของกลุ่มทุนนี้มีนามว่า พอล ซิงเกอร์ เคยเป็นเจ้าของทีม เอซี มิลาน ในอดีต มีทรัพย์สินเป็นมูลค่าสูงถึง 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
