ได้รับเสียงยกย่องเป็นอย่างมากสำหรับขุนพล "สิงโตแห่งเทือกเขาแอตลาส" ทีมชาติโมร็อกโก ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกจากทวีปแอฟริกาใต้คว้าตั๋วเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ
พวกเขาโชว์ศักยภาพอันยอดเยี่ยมของเกมรับ โค่น สเปน รอบ 16 ทีมสุดท้ายในการดวลจุดโทษ ต่อด้วยปราบ โปรตุเกส 1-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เรียกได้ว่า โมร็อกโก มีเกมรับที่เหนียวแน่นดุจหินผา จนมาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายพวกเขาไม่เคยโดนคู่แข่งเจาะตาข่ายได้เลยแม้แต่ลูกเดียว และเสียไปแค่ 1 ประตูในรอบแบ่งกลุ่มให้กับ แคนาดา จากการทำเข้าประตูตัวเองของ นาเยฟ อาเกิร์ด
อย่างไรก็ตามถึงแม้สุดท้ายพวกเขาจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะต้องตกรอบ 4 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของอดีตแชมป์โลก 2 สมัย ดีกรีแชมป์เก่าเมื่อครั้งที่แล้ว อย่าง ฝรั่งเศส แต่การเดินทางมาถึงรอบตัดเชือกขนาดนี้ ก็เปรียบเสมือนความฝันแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้วงการฟุตบอลของโมร็อกโกซบเซาเป็นอย่างยิ่ง ช่วงปี 2002-2014 ไม่สามารถตีตั๋วเข้าไปเล่นเวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายติดต่อกันถึง 4 ครั้ง แถมรายการอื่นๆ ก็แทบไม่ประสบความสำเร็จ จะมีก็แค่ในปี 2004 ที่ได้เข้าชิงฯ แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเจ้าภาพตูนีเซีย 1-2
ฟุตบอลของโมร็อกโกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในปี 2017 เมื่อพวกเขายกระดับคุณภาพของทีมขึ้นมา มีนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองหลายคน สามารถผ่านเข้าไปเล่นถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ในปีนั้น
ก่อนที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จในปีต่อมาด้วยการคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกเหนือทั้ง ไอวอรี โคสต์, กาบอง และมาลี แม้สุดท้ายในครั้งนั้นพวกเขาจะกระเด็นตกรอบแรกเพราะอยู่ในกลุ่มสุดหิน ทั้ง สเปน, โปรตุเกส และอิหร่าน ก็ถือเป็นเส้นทางการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการถ่ายสายเลือดใหม่ของตัวเอง
สำหรับ เวิลด์ คัพ 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของทีมฟุตบอลโมร็อกโก ขั้นแรกคือการผ่านรอบแบ่งกลุ่มเข้าไปเล่นรอบน็อกเอาท์ครั้งแรกในรอบ 36 ปี นับตั้งแต่ปี 1986 ที่เม็กซิโก ถือเป็นการคืนชีพ "สิงโตแห่งเทือกเขาแอตลาส" ให้มีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
โมร็อกโก กลายเป็นชาติที่ 4 ของทวีปแอฟริกา ที่สามารถผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ต่อจาก แคเมอรูน (ปี 1990), เซเนกัล (ปี 2002) และกาน่า (ปี 2010) และเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์กาฬทวีปที่ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก
ขณะเดียวกันพวกเขายังกลายเป็นชาติแรกจากแอฟริกา ที่ไม่แพ้ใคร 6 นัดติดต่อกันในเวิลด์ คัพ รอบสุดท้าย นับตั้งแต่เกมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2018 ที่เสมอ สเปน 2-2 จนมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เอาชนะโปรตุเกส 1-0
ขณะเดียวกันกุนซือคนเก่งของพวกเขา อย่าง วาลิด เรกรากี ซึ่งถือเป็นชาวโมร็อกโกแท้ๆ กลายเป็นเฮดโค้ชคนแรกจากทวีปแอฟริกา ที่สามารถพาทีมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ รวมไปถึงเป็นกุนซือจากแอฟริกาแท้ๆ คนแรก ที่พาทีมผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้อีกต่างหาก
หลังจบเกมที่ทีมพ่ายแพ้ให้กับ ฝรั่งเศส ตกรอบ 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 กุนซือใหญ่โมร็อกโก ให้สัมภาษณ์ว่าคนทั้งโลกต้องภูมิใจกับเส้นทางของพวกเขา แม้จะต้องอกหักไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้ก็ตาม
"เราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว เรารับรู้ได้จากสื่อ โซเชียล มีเดีย และทีวี เราเห็นรูปภาพต่างๆ เราเห็นทุกคนภูมิใจในตัวเรา และประเทศของเรา ผมคิดว่าผู้คนทั้งโลกต้องภูมิใจกับโมร็อกโกทีมนี้ เพราะเราแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้า เราทำงานหนัก และเราเล่นฟุตบอลด้วยความตั้งใจ" เรกรากี กล่าว
ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยข้อมูลว่าฟุตบอลโลก 2022 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ผ่านมา ทีมชาติโมร็อกโก มีมูลค่าทีมต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 7 ชาติอื่นๆ พวกเขามีค่าตัว และค่าเหนื่อยของนักเตะรวมกันแค่ 241.0 ล้านยูโร ขณะที่อันดับ 1 ทีมชาติอังกฤษ มีมูลค่าทีมสูงถึง 1,260 ล้านยูโร แตกต่างกันมากถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้ถึงแม้ว่า โมร็อกโก จะเดินไปได้ไกลแค่รอบ 4 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ แต่พวกเขาก็สามารถจารึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ผู้คนทั่วโลกต่างให้คำยกย่องสรรเสริญ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าวงการฟุตบอลของ "สิงโตแห่งเทือกเขาแอตลาส" จะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
ทั้งนี้ โมร็อกโก ยังมีภารกิจ ที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาอีก 1 หน้า ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ อีกหนึ่งนัด คือเกมในรอบชิงอันดับ 3 ที่พวกเขาจะต้องเจอกับ โครเอเชีย ในคืนวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคมนี้ เวลา 22.00น. ตามเวลาประเทศไทย พีพีทีวี ช่อง 36, ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และทรูสปอร์ต 2 ถ่ายทอดสด
และอันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 2022 จะเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ของนักเตะโมร็อกโกอีกครั้ง หลังจากพวกเขาพลาดการเข้าชิงชนะเลิศ