พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความอุดมสมบูรณ์ สงบร่มเย็นของประเทศไทย ทรงหลอมรวมจิตใจคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียว รวมพลังไทยเพื่อพัฒนาไทยในทุกด้านนำพาบ้านเมืองปวงชนชาวไทย สู่ความอยู่ดีกินดี เปี่ยมด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรี และธำรงวัฒนธรรมของสยามประเทศให้คงอยู่ดัง พระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
ด้วยทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยที่จะสืบสานรักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริ และพระราชกรณียกิจ ในพระบรมชนกนาถ และพระบรมราชชนนี ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้อาณาราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนบนผืนแผ่นดินไทย ทรงเคียงข้างประชาชนของพระองค์ ในทุกสถานการณ์ทรงเป็นพระมุขที่พึ่งพิง และความหวัง ดังภาพการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ จึงเป็นภาพอันน่าประทับใจ ความจงรักภักดี และความผูกพันอันแนบแน่น ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนชาวไทยจึงปรากฏให้เห็นตลอดกาล
เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2565 จึงได้ร้อยเรียงพระราชกรณียกิจ7 ด้านที่ทรงปฎิบัติเพื่อความอยู่ดีมีสุขของอาณาราษฎรชาวไทยทุกหมู่เหล่าภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
“แสงแห่งพระราชา ส่องสว่างทางการศึกษา สร้างชีวิตมั่นคงแก่อนาคตของชาติ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักในคุณค่าและความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีคุณภาพจึงทรงสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับประชาชนได้เรียนรู้สามารถนํามาใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมถึงสามารถนำความรู้มาพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้ ดังนั้น เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร จึงมีพระราชดำริให้ดำเนิน “โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้นเมื่อปี 2552 โดยให้ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษาให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง อันเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและศักยภาพแก่เยาวชนไทย
ต่อมาในปี 2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฏราชกุมาร (ม.ท.ศ.)” โดยทรงรับเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสืบต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนไทยทั่วประเทศที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี มีคุณธรรม แต่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องดีงาม ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติบ่มเพาะความมีวินัย รวมทั้งพัฒนาศักยภาพความสามารถในการเรียนรู้ให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องมีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ อันจะช่วยสร้างพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็งแก่เด็กและเยาวชนไทยผู้ที่ได้รับทุนพระราชทาน สามารถเติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพนำความรู้กลับไปทำงานพัฒนาท้องถิ่นชุมชน มีสัมมาชีพมั่นคง เป็นพลเมืองที่ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ
ปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ไปแล้ว รวม 13 รุ่น มากกว่า 2,000 ราย ที่ได้รับโอกาสในการศึกษาอย่างต่อเนื่องในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จนถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ส่วนใหญ่เรียนในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ อาทิ สาขาแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ และครูเป็นต้น ทั้งยังได้รับการเพิ่มพูนทักษะการเรียนรู้รอบด้าน ให้มีทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต มีทัศนคติที่ดีงาม มีจิตอาสาทำประโยชน์ เพื่อส่วนรวม ปัจจุบัน มีนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีไปแล้ว รวม 6รุ่น จำนวนเกือบ 700 ราย ซึ่งร้อยละ 70 ล้วนกลับไปทำงานที่บ้านเกิด
พระมหากรุณาธิคุณนี้เปรียบดังแสงส่องสว่างทางการศึกษา เพื่อให้อนาคตของประเทศชาติได้มีโอกาสทางการศึกษาเพื่อนำความรู้กลับไปพัฒนาบนผืนแผ่นดินเกิดอย่างยั่งยืน
“ธรรมราชา ผู้ทรงค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนในแผ่นดินไทย”
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญรอยตามสมเด็จบูรพมหากษัตริยาธิราช แห่งมหาจักรีราชวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยเกื้อหนุน เกื้อกูล เผยแผ่ และธำรงไว้ซึ่งการสืบทอดพระพุทธศาสนาของชาติให้ดำรงอย่างมั่นคงในผืนแผ่นดินไทย ผ่านพระราชกรณียกิจด้านการศาสนาที่พระองค์ทรงปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างเรื่อยมาอันเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สายตาชาวไทยทุกหมู่เหล่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธามั่นต่อพระบวรพระพุทธศาสนา ดังภาพที่ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ด้านศาสนา อันเป็นเป็นภาพที่ซาบซึ้งใจของราษฎรชาวไทยทุกหมู่เหล่าเรื่อยมา ทรงพระดำเนินขึ้น-ลงพระบรมบรรพต (เจดีย์ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ทางบันไดจำนวน 688 ขั้น เพื่อทรงห่มผ้าองค์พระเจดีย์บรมบรรพต และสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ แม้เส้นทางที่ทรงพระดำเนินทางบันไดแต่ละขั้นจะเต็มไปด้วยความลาดชันด้วยความสูงจากฐานถึงยอด 63.6 เมตร หากแต่ด้วยพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาในพระบวรพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงพระดำเนินขึ้นสู่ด้านบนพระเจดีย์บรมบรรพต ด้วยพระพักตร์อันสดใส
นอกจากนี้ยังทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่างๆ อันเป็นประโยชน์โดยตรงแก่พสกนิกรของพระองค์ โดยได้ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจที่จังหวัดอุบลราชธานี ทรงประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระประธานพระวิหาร “พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง” ณ วัดมหาวนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เพื่อให้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวจังหวัดอุบลราชธานี และถวายเป็นพุทธบูชาสืบไป เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดแพรคลุมป้าย “เจดีย์อัฐบริขารเขมาภิรโต” และทรงประกอบพิธีสมโภช “พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย” ณ วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น
เพื่อค้ำจุน เกื้อกูล พระพุทธศาสนาให้คงมั่นอยู่ในผืนแผ่นดินไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการศาสนาอีกนานัปการ เพื่อส่งเสริมบำรุงให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้น เช่น เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางศาสนา อาทิ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สาธุชนได้ร่วมทำบุญถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยการให้ประชาชนหน่วยงานต่างๆจัดโคมตราหรือเทียนไปจุดเป็นพุทธบูชา เนื่องในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันอาสาฬหบูชาพุทธศักราช 2565 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง …
ทุกสิ่งอย่างในโลกล้วนมีความเปลี่ยนไปตามธรรมดาโลก หากแต่ ไม่สามารถทำลายความเป็นชาติไทยได้ ก็เพราะมีชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เป็นหลักยึดเหนี่ยว อุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนาในทุกๆด้าน จนทำให้ไทยธำรงความเป็นไทยจนถึงทุกวันนี้
“น้ำพระราชหทัยรักพระราชา ชุบชีวิตยามวิกฤติสาธารณสุขไทย”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรอย่างใกล้ชิดเสมอมา โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพอนามัยทรงตระหนักว่า การมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์จะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี และสามารถทำประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไปได้ พระองค์จึงได้พระราชทานความช่วยเหลือและแนวพระราชดำริการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขเรื่อยมา
นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2563 เป็นต้นมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด ด้วยทรงห่วงใยประชาชนและบุคคลากรทางการแพทย์ในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 จึง
พระราชทานพระบรมราโชบายในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ อีกทั้งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระราชทานรถเก็บตัวอย่าง ชีวนิรภัย จำนวน 36 คัน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ จำนวน 5 คัน รถเอกซเรย์ระบบดิจิทัลจำนวน 2 คัน รวมทั้งรถต่อพ่วงชีวนิรภัย จำนวน 6 คัน เพื่อปฏิบัติงานเชิงรุกภาคสนามในการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง พระราชทานชุด PPE แบบเสื้อคลุมกันน้ำชนิดใช้ครั้งเดียว ชุด PPE แบบชุดหมีกันน้ำชนิดใช้ครั้งเดียว และชุด PPE แบบเสื้อคลุมกันน้ำชนิดใช้ซ้ำได้ จำนวน 3 รุ่น รวม 700,000 ตัว และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 122 ล้านบาท ในการจัดหารถยนต์และอุปกรณ์การแพทย์ดังกล่าว เพื่อกระจายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ
พระราชทานรถเอกซเรย์ระบบดิจิทัล คันแรกในประเทศไทยที่มีระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ทันสมัยที่สุด ให้แก่กระทรงสาธารณสุข เพื่อนำไปสนับสนุนการปฎิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทางการแพทย์ในการป้องกันดูแลสุขภาพอนามัยประชาชนอย่างครบวงจร อีกทั้งยังรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด19
พร้อมกันนี้ยังพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อสมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่างๆ เพื่อใช้ในการตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างเท่าเทียมกัน อาทิพระราชทานทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานทรัพย์ จำนวน2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 27 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทานรถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์สื่อสาร แก่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โรงพยาบาลบันนังสตาจังหวัดยะลา โรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก และโรงพยาบาลแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
น้ำพระราชหฤทัยกว้างใหญ่ไผ่ศาลนี้ยังแผ่ไปถึงผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศโดยทรงรับเป็นพระราชภารกิจสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพสกนิกรทุกหมู่เหล่าให้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแม้จะเป็นผู้ต้องขังก็ตาม ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงตามหลักมนุษยธรรมและสอดคล้องกับข้อกฎหมายเกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ ข้อกำหนดแมนเดลา และข้อกำหนดกรุงเทพ ฯ ที่เป็นข้อกำหนดของสหประชาชาติ
จึงพระราชทานทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาทแก่เรือนจำ ทัณฑสภาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผ่าน “โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติศาสน์ กษัตริย์ “
“พระบารมีแห่งพระราชา พลิกผืนพสุธา สู่ธาราแห่งชีวิต”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแนวพระราชดำริต่างๆ แห่งองค์พระบรมชนกนาถ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรทุกหมู่เหล่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับ “โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง” ของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤติภัยแล้ง จำนวน 15 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทุก“ภูมิสังคม” ของประเทศไทย ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนมศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี และพัทลุง
ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกพื้นที่ จะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 37,600 ครัวเรือน หรือ 143,000 คนครอบคลุมพื้นที่กว่า 557,000 ไร่ ปริมาณน้ำรวม 11.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ช่วยประหยัดรายจ่ายให้ประชาชนกว่า500 ล้านบาทต่อปี จากการได้มี น้ำดื่มสะอาดบริการฟรี
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
จ.กาญจนบุรี ซึ่งด้รับการขนานนามว่าอีสานภาคกลาง” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ เป็นพื้นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เงาฝน ไม่มีระบบชลประทาน ประชาชนในตำบลหนองฝ้ายต้องจ้างรถบรรทุกน้ำ สำหรับใช้อุปโภคบริโภค เกษตรกรบางคนเกิดและเติบมาถึงวันใกล้เกษียณ ต้องหาบน้ำแสนหนักจากบ่อน้ำที่อยู่ภายในหมู่บ้านเพื่อมาใช้ในการอุปโภคบริโภคมาตลอดชีวิต หรือบางคนไม่มีน้ำใช้ในการเกษตรหรือปศุสัตว์ ต้องเสียเงินเพื่อใช้ในการสูบน้ำจากบ่อเพื่อมามำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ ทำให้มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ชีวิตเป็นอยู่แสนยากเข็ญ แต่มาวันนี้ชีวิตของชาวบ้านตำบลเลาขวัญ กลับมาชุ่มชื่นด้วยพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงรับโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ภัยแล้ง ไว้เป็นโครงการในพระราชดำริ ทำให้ทุกคนที่ได้ใช้ประโยชน์จากน้ำบาดาลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืนและเป็นสุข
“ทรงห่วงใยพสกนิกรอย่างเท่าเทียม”
คงไม่กล่าวเกินจริงว่า ไม่มีความเดือดร้อนใดของพสกนิกรอยู่นอกสายพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบถึงความตั้งใจและความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ที่ปฎิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแเดนภาคใต้ ด้วยความเสียสละเพื่อรักษาชายแดนด้ามขวานทอง ไว้ให้ลูกหลานชาวไทยได้ภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย
ครั้นความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ถึงความสูญเสียและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บขณะกำลังปฎิบัติ ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญสิ่งดอกไม้และสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเจ้าหน้าที่ที่สูญเสียชีวิตระหว่างที่ปฎิบัติหน้าที่ก็พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงเข้าเข้าพระทัยครอบครัวผู้สูญเสียเมื่อต้องเสียเสาหลักของครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ครอบครัวเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตยังถิ่นพำนัก เพื่อพระราชทานกำลังใจให้ครอบครัวผู้สูญเสียมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป
ภาพความเดือดร้อนแสนสาหัญของพสกนิกรเมื่อต้องประสบกับวาตภัยที่พัดพาบ้านเรือนสูญหาย หรือบ้านเรือนราษฎรที่มอดไหม้ไปกับกองเพลิงอันแสนดุร้าย สร้างความทุกข์ระทมอย่างแสนเข็ญให้แก่ผู้ประสบภัย มิได้อยู่ไกลจากสายพระเนตรแม้แต่น้อย ทันทีที่ความทุกข์ร้อนของราษฎรทราบยังฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้องคมตรี เชิญถุงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานไปมอบแก่ราษฎรผู้ที่กำลังประสบทุกข์ภัย พร้อมเชิญพระราชกระแสรับสั่งทรงห่วงใยไปกล่าวเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ราษฎรในพระองค์
“พระราชาผู้ทรงยึดถือความกตัญญูกตเวทีเป็นธรรมะประจำพระราชหฤทัย “
ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดถือความกตัญญูกตเวทีเป็นธรรมะประจำพระราชหฤทัย ดังที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงยึดถือปฏิบัติมาทุกยุคทุกสมัย เมื่อถึงเทศกาลสำคัญก็จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบรมราชบุรพการี ตามหลักพระพุทธศาสนา หรือเทศกาลตรุษจีนของทุกปี ก็จะเสด็จฯ ทรงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย” อันหมายถึงการถวายอาหารไหว้บรรพบุรุษตามธรรมเนียมจีน เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายราชสักการะแด่พระป้ายอันเป็นที่สถิตดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช สำหรับ “พระป้าย” เป็นป้ายชื่อของบรรพบุรุษบุพการีที่ตั้งไว้ในพระราชพิธีสังเวยพระป้าย เพราะธรรมเนียมจีนมีความเคารพนับถือและความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษบุพการี
ครั้นถึงเทศกาลสงกรานต์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชสำนักผู้ใหญ่ เชิญเครื่องสรงน้ำสงกรานต์ไปพระราชทานพระอนุวงศ์ผู้ใหญ่ เป็นการแสดงพระราชกตัญญุตาธรรมตามโบราณราชประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ผู้แทนพระองค์ เชิญเครื่องสรงน้ำสงกรานต์ไปพระราชทาน หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี , พลเรือเอก หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัฒน์ และหม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคล ด้วย
นับเป็นบุญของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง ที่ได้เกิดมาอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระราชาผู้ทรงยึดถือความกตัญญูกตเวทีเป็นธรรมะประจำพระราชหฤทัย
ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคมนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงเป็นมิ่งขวัญ และร่มเกล้าของปวงชนชาวไทยตราบชั่วกาลนาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปีติถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
ในหลวง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินวัดราชบพิธฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน
'ในหลวง พระราชินี' ทรงวางพวงมาลา พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปทรงวางพวงมาลา ณ พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทั่วไทยรำลึกพ่อหลวง ปีติ‘พระเจ้าอยู่หัว-พระราชินี’ทรงวางพวงมาลาวันนวมินทรมหาราช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 9 และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2567
ในหลวง พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2567
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันนวมินทรมหาราช พุทธศักราช 2567
แห่ส่งครั้งสุดท้าย อาลัย‘23ครู-นร.’ ขีดเส้นรถติดNGV
"ในหลวง" ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประธานองคมนตรีเป็นประธานในการพระราชทานเพลิงศพ 23 ร่างผู้เสียชีวิตเหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา