เวทีสัมมนาที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ประชุมผ่านระบบ Zoom ตามมาตรการป้องกันโควิด -19
พอช.และภาคีเครือข่าย จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อขับเคลื่อน (ร่าง) ‘ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง พ.ศ.’ มีเป้าหมายเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง โดยที่ประชุมจะนำร่างไปปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคมจะจัดเวทีเพื่อนำเสนอร่างระเบียบฯ ก่อนจะนำไปขับเคลื่อนต่อไป
ตามที่รัฐบาลมีแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เพื่อสร้างความสงบสุข เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ จึงจำเป็นจะต้องมีการบรูณาการให้เกิดการปฏิรูปในระดับชุมชนฐานราก โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลดความยากจนและขจัดความยากจน โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีกลไกในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย
ล่าสุดวันนี้ (25 กุมภาพันธ์) ระหว่างเวลา 9.00-15.00 น. คณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและการแก้ไขปัญหาสังคมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2563 และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อน (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง พ.ศ. ....” เพื่อระดมความคิดเห็นในการร่างระเบียบและแนวทางในการขับเคลื่อน
โดยมีนักวิชาการ คณะอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ภาคประชาสังคม ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ผู้บริหาร พอช. ฯลฯ เข้าร่วมประชุมที่ พอช. และประชุมผ่านระบบ Zoom ประมาณ 50 คน
ส่วนหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Zoom
นายปฏิภาณ จุมผา รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ พอช. กล่าวว่า ร่างระเบียบที่กำลังดำเนิน การนี้เป็นหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของประชาชนที่คิดค้นขึ้นมา ที่เริ่มจากความทุกข์ของคนข้างล่าง และเป็นระเบียบจากรากฐาน ที่จะเป็นอนาคตของประเทศไทย
“ระเบียบฉบับนี้คืออนาคต เป็นทั้งทิศทาง ยุทธศาสตร์ มีเป้าหมายสำคัญ มีนัยยะทางอำนาจของชุมชนท้องถิ่น หากนำมาสู่การปฏิบัติจะทำให้พี่น้องข้างล่างได้ใช้เป็นเครื่องมือในการปรึกษาหารือกัน และกำหนดอนาคตและวิถีชีวิตของคนในชุมชน เกิดระบบและโครงสร้างอำนาจ เป็นภูมิคุ้มกันของชุมชนท้องถิ่นต่อไป” รักษาการ ผอ.พอช. กล่าวเปิดประเด็นการสัมมนา
นายปฏิภาณ จุมผา รักษาการ ผอ.พอช.
รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและการแก้ไขปัญหาสังคม ในฐานะประธานการจัดสัมมนา กล่าวว่า ระเบียบดังกล่าวฯ เป็นการริเริ่มจากคณะอนุกรรมการดำเนินการปฏิรูปเร่งด่วน แต่เนื่องจากองคาพยพในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญไม่ได้ขับเคลื่อน จึงมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวขึ้น มา เพื่อให้เรื่องเร่งด่วนและสำคัญนั้นดำเนินการได้
รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา อนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและการแก้ไขปัญหาสังคม เสนอความเห็นตอนหนึ่งมีใจความว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ การร่วมแลกเปลี่ยน ร่วมคิด ร่วมทำ เป็นการผสม ผสานวัฒนธรรม ความเป็นจริง และการเอื้ออำนวย ที่ไม่ไปขัดแย้งกับใคร ผ่านกลไกกลางหรือเวทีกลาง ระเบียบดังกล่าวเอื้ออำนวยให้วัฒนธรรม โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับของหน่วยงาน ของท้องถิ่น ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนต่อ และทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นพื้นที่กลางให้ทุกหน่วย ทุกองคาพยพ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมวางแผน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราปฏิรูปอย่างมโหฬาร
นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา
“ดังนั้นการทำระเบียบดังกล่าว มีความสำคัญว่า อันไหนที่เป็นวัฒนธรรมเชิงโครงสร้าง ที่มีความใหญ่โต รวมถึงผู้คนที่เกี่ยวข้องอาจจะมีภารกิจมาก ไม่สามารถร่วมได้ หรือคิดถึงกลไกระดับตำบล ในระเบียบนี้อาจจะหมายถึง ‘ประชาคมท้องถิ่น’ หรือ ‘สมัชชาตำบล’ ชุมชนจะเข้มแข็งจะต้องมีการเชื่อมโยงกัน ชุมชนเข้มแข็ง เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ชุมชนไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ มีความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง” นางสาวสมสุขกล่าว และว่า ระเบียบดังกล่าวคงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมได้ต่อไป
นายแก้ว สังข์ชู ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจากภาคใต้ กล่าวว่า ถ้าระเบียบดังกล่าวเดินได้ ทุกชุมชนใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและสร้างโครงสร้างของเขาได้จะเกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการสร้างระบบ วิถีวัฒนธรรม สังคม สร้างระบบการตัดสินใจในทุกๆ เรื่อง ในคุณภาพชีวิตของเขา เชื่อมั่นว่าระเบียบดังกล่าวเป็นเครื่องมือรองรับการตัดสินใจของกลุ่มคนที่มีความเดือดร้อน มีผลกระทบ หรือพัฒนาไปสู่อนาคตข้างหน้าได้อย่างเป็นระบบ และต้องขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่ที่จะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน เป็นการสร้างความเสมอภาคทางสังคม ทุกคนร่วมตัดสินใจ รับรู้ และร่วมสร้างไปด้วยกัน
นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ อนุกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า การร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นการเปิดพื้นที่ระดับตำบล ระดับฐานรากของประเทศ ที่ให้ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกำหนดทิศทางของเขา ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญที่ว่า “อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย” ซึ่งหมายถึงทุกคนสามารถดำเนินการคิดและออกแบบได้ รวมถึงคนในพื้นที่มีองค์ประกอบทั้งของหน่วยงานและเจ้าของพื้นที่อย่างหลากหลาย สามารถที่จะร่วมดำเนินการได้
ชุมชนท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็งสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ เช่น ชาวบ้านที่ตำบลศรีถ้อย อ.แม่ใจ จ.พะเยา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้สร้างฝายชะลอน้ำ แก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ ป้องกันน้ำท่วม
นอกจากนี้ยังมีผู้อภิปรายเสนอความคิดเห็นอีกหลายคน โดยมีข้อเสนอร่วมจากเวทีสัมมนา เช่น 1.เสนอให้มีคณะทำงานมาช่วยออกแบบกระบวนการขับเคลื่อนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งระบบ 2.การพัฒนา(ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง พ.ศ. .... โดยดูเนื้อหาจากร่างเดิมและนำมาปรับให้เหมาะสม มีการจัดเวทีเพื่อพัฒนาร่างระเบียบ โดยใช้กระบวนการสมัชชามารับฟัง หาข้อยุติ หาความเห็นร่วมกัน รวมทั้งการจัดเวทีในพื้นที่ เสนอให้ พอช. มีหน้าที่เป็นกองเลขา สนับสนุนการขับเคลื่อนร่างและการจัดเวทีต่างๆ
และ 3.การจัดทำข้อมูล และศึกษารูปธรรม พัฒนาโมเดล เพื่อสร้างวาระทางสังคมร่วมกัน โดยการจัดทำข้อมูล/พื้นที่รูปธรรม มีกระบวนการสื่อสารและกระบวนการเรียนรู้ของภาคประชาชน เพื่อให้ชุมชนและสังคมร่วมเรียนรู้ นำพื้นที่รูปธรรมชุมชนที่มีความเข้มแข็งมานำเสนอ เพื่อพัฒนาเป็นโมเดลและนำไปขยายผล ฯลฯ
การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยโดยชุมชน มีหน่วยงานภายนอก เช่น พอช.ให้การสนับสนุน
รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานอนุกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำฯ กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า วันนี้เปรียบเสมือนได้มาสรุปกระบวนการของภาคประชาสังคมตั้งแต่ปี 2527 จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 40 ปี เป็นการมาหาแพลตฟอร์มพื้นฐานให้ฐานรากเข้มแข็ง การสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้สรรพกำลังจากพวกเราเพื่อออกแบบและขับเคลื่อนให้เกิดความเข้มแข็ง
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า จะนำความคิดเห็นจากเวทีสัมมนาในวันนี้ไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงร่างระเบียบสำนักนายกฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคมจะจัดเวทีเพื่อนำเสนอร่างระเบียบฯ ก่อนจะนำไปขับเคลื่อนต่อไป
สำหรับ ‘(ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง พ.ศ. .…’ มีสาระสำคัญเบื้องต้น เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนแห่งชาติ (กชช.) มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงต่างๆ และผู้แทนจากสมัชชาตำบลหรือเขต โดยมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนเป็นสำนักงานเลขานุการ กชช. ทำหน้าที่สนับสนุนการทำงาน และมี รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ ฯลฯ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รวมพลังคนจนเมืองทั่วประเทศ เปลี่ยนสลัม สู่บ้านมั่นคง บ้านแห่งศักดิ์ศรีที่ทุกคนร่วมสร้าง!
เมื่อความฝันของคนจนไม่บ้านกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ วันนี้พร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด เปลี่ยนแปลงสลัมให้เป็น "บ้านมั่นคง" ที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์
ประกาศผล 8 กองทุน เข้ารับรางวัลองค์กรสวัสดิการชุมชนดีเด่น ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี พ.ศ. 2567
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหารชน) หรือ พอช. ร่วมกับ คณะทำงานพิจารณารางวัลองค์กรสวัสดิการชุมชนประจำปี 2567 จัดเวทีพิจารณา รางวัลองค์กรสวัสดิการชุมชน
ชุมชนทั่วประเทศ ระดมข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้รัฐ ในการประชุม ‘ระดับชาติสภาองค์กรชุมชนตำบล’ ครั้งที่ 16 ปี 2567 เชื่อมั่น “พลังชุมชน พลังประชาชน สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้”
การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลครั้งที่ 16’ ปี 2567 ผู้แทนสภาองค์กรชุมชน ทั่วประเทศ ระดมข้อเสนอเชิงนโยบายให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
“16 ปี สภาองค์กรชุมชนตำบล” “พัฒนาประชาธิปไตยฐานราก สร้างพลังชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง”
‘สภาองค์กรชุมชนตำบล’ จัดตั้งขึ้นมาตาม ‘พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551’ ปัจจุบันเป็นระยะเวลา 16 ปี มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนในระดับตำบล เทศบาล และเขต
โค้งสุดท้าย 26 กองทุนฯทั่วไทย ลุ้นรางวัลกองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่น ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’
กรุงทพฯ/(16 ธ.ค. 67) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหารชน) หรือ พอช. ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย คณะทำงานพิจารณารางวัลองค์กรสวัสดิการชุมชนประจำปี 2567
พอช. หนุน “ศูนย์กระจายสินค้าชุมชน” โมเดลสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ที่กาญจนบุรี
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับ เครือข่ายองค์กรชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี จัดพิธีเปิดศูนย์กระจายสินค้าชุมชนตำบลหนองตากยา