พอช.ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดเวทีนำเสนอผลวิจัย 5 พื้นที่ต้นแบบ ‘การพัฒนาชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง’

นายธนสุนทร  สว่างสาลี  รองปลัดกระทรวง พม.  (นั่งกลางเสื้อฟ้า) ร่วมเวทีนำเสนอผลงานวิจัย

กรุงเทพฯ / พอช.ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดเวทีนำเสนอผลวิจัย  เรื่อง ‘การพัฒนาชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง’ ใน 5 พื้นที่  เชียงใหม่  ชัยนาท  มหาสารคาม  ปราจีนบุรี  และสตูล  เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาองค์ความรู้นำไปส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองได้        

วันนี้ (15 กุมภาพันธ์) ระหว่างเวลา 9.30-12.00 น. ที่โรงแรมเดอะพันธุ์ทิพย์โฮเทล  เขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  จัดเวทีนำเสนอ ผลการศึกษาวิจัยพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง  พึ่งพาตัวเอง  และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง  โดยอาศัยการดำเนินงานอย่างบูรณาการ’  มีผู้เข้าร่วมในเวทีจำนวน  30 คน  และร่วมประชุมผ่านระบบ Zoom ประมาณ 80 คน  มีนายธนสุนทร  สว่างสาลี  รองปลัดกระทรวง พม. เป็นประธานในการจัดงาน

นายปฏิภาณ  จุมผา  ร่วมประชุมผ่านซูม

นายปฏิภาณ  จุมผา  รองผู้อำนวยการ  รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ  กล่าวว่า  งานวิจัยในครั้งนี้มีความสำคัญมาก  ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้ลงไปศึกษาพื้นที่จากชีวิตจริงทั้ง 5 พื้นที่  เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์และเป็นผู้กล้าแห่งยุค  สามารถพึ่งพาตัวเองได้   ต้องขอขอบคุณ สกสว.ที่ได้จัดส่งงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรมให้กับกระทรวง พม.  เปิดโอกาสให้ขบวนองค์กรชุมชนและประชาสังคมให้มีการปฏิบัติการศึกษาพื้นที่ที่จะเป็นทิศทางของขบวนองค์กรชุมชนทั่วประเทศ   เพื่อจะนำไปสร้างองค์ความรู้  สร้างการเปลี่ยนแปลง  และนำไปสู่การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งพึ่งพาตัวเองและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงได้ต่อไป

นายธนสุนทร  สว่างสาลี

นายธนสุนทร  สว่างสาลี  รองปลัดกระทรวง พม. กล่าวมอบนโยบาย การวิจัยกับการพัฒนาสู่ชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเอง มีใจความสรุปว่า  ถ้าเรามีพื้นฐานงานวิจัยรองรับ  เราทำโครงการกิจกรรมจากการหาข้อมูลจากพี่น้องประชาชน   มีนักวิจัยจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วย  ความน่าเชื่อถือจะได้รับการยอมรับมากขึ้น  งานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นงานชิ้นหนึ่งที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้พึ่งพาตนเองได้ 

ผู้เข้าร่วมเวทีนำเสนอผลการศึกษาวิจัย

5 พื้นที่ต้นแบบ  เชียงใหม่  มหาสารคาม  ชัยนาท  ปราจีนบุรี  สตูล

การศึกษาวิจัยพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง  พึ่งพาตัวเอง  และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง  โดยอาศัยการดำเนินงานอย่างบูรณาการ  ดำเนินการในปีงบประมาณ 2564  ได้รับการสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) โดยมีนางสาวสุธิดา  บัวสุขเกษม  เป็นหัวหน้าโครงการ   นักวิจัยหลัก ประกอบด้วย  นายธีรพล  สุวรรณรุ่งเรือง  นางสาวนพรัตน์  พาทีทิน  ดร.โอฬาร  อ่องฬะ  มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่  เฉลิมพระเกียรติ  นายนาวิน  โสภาภูมิ   และคณะนักวิจัยร่วมจากชาวบ้านในพื้นที่  

ส่วนพื้นที่วิจัย 5 จังหวัด  คือ  1.เชียงใหม่  ศึกษาการก่อรูปและปฏิบัติการของสภาลมหายใจเชียงใหม่  และพื้นที่ตำบลเปียงหลวง  อำเภอเวียงแหง   2.มหาสารคาม  ศึกษาในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร  และพื้นที่ตำบลดงใหญ่ อำเภอวาปีปทุม  3.จังหวัดชัยนาท ศึกษาเรื่องการจัดการข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน  ผ่าน “นักจัดการข้อมูลชุมชน” และพื้นที่ตำบลโพงามและตำบลบางขุด  อำเภอสรรคบุรี

การจัดประชุมศึกษาวิจัยในพื้นที่ที่ตำบลเขาไม้แก้ว  จ.ปราจีนบุรี

4.ปราจีนบุรี  ศึกษาเรื่องการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์  และพื้นที่ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอกบินทร์บุรี  และ 5.สตูล ศึกษาการใช้สภาองค์กรชุมชนและการสร้างพื้นที่กลางในการแก้ไขปัญหาของชุมชน  และพื้นที่ตำบลขอนคลาน   อำเภอทุ่งหว้า

คณะผู้วิจัยได้ใช้แนวทางในการศึกษาในลักษณะแบบผสมผสาน  ระหว่างการวิจัยในเชิงคุณภาพกับการวิจัยเชิงปริมาณ  โดยการวิจัยเชิงปริมาณได้ใช้เครื่องมือ ‘แบบสอบถามเพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเอง’  มีกลุ่มตัวอย่างในการตอบแบบสอบถามทั้งหมดจำนวน 676 ราย  ใน 5 พื้นที่  ประกอบด้วยข้อมูล  2 ส่วน  คือ  ข้อมูลทั่วไป และความคิดเห็นต่อความเข้มแข็งของชุมชน   โดยสอบถามความคิดเห็นต่อความเข้มแข็งของชุมชนใน  6 ด้าน คือ ด้านคนมีคุณภาพ  ด้านการมีส่วนร่วม  ด้านคุณภาพชีวิต ด้านความสามารถในการปรับตัว ด้านองค์กรชุมชน  และด้านความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาคี  

ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อที่สำคัญ  คือ  1.เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานของพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเอง  โดยอาศัยการดำเนินงานอย่างบูรณาการ  และ 2. เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่สำคัญต่อการดำเนินงานอย่างบูรณาการของพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเอง

การจัดประชุมศึกษาวิจัยในพื้นที่  อ.สรรคบุรี   จ.ชัยนาท

6 ประเด็นร่วมพลังชุมชนท้องถิ่น

จากการศึกษาของคณะวิจัยในพื้นที่ 5 จังหวัด  นำมาสู่กระบวนการสังเคราะห์บทเรียนจากเงื่อนไขของพื้นที่ต่าง ๆ โดยพบว่า  การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งพึ่งพาตนเองและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยการดำเนินงานอย่างบูรณาการ  มีประเด็นร่วมสำคัญที่สามารถสะท้อนให้เห็นพลังของการทำงานของชุมชนท้องถิ่น 6 ประเด็นที่สำคัญ  คือ

1.การมีจินตภาพร่วมของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นรวมถึงเครือข่ายชาวบ้าน  ตัวอย่างเช่น  ที่ตำบลดงใหญ่ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม  ชาวบ้านในตำบลได้ใช้ประโยชน์จาก ‘ป่าดงใหญ่’  เพื่อเป็นแหล่งอาหารมาเป็นเวลานาน  เมื่อมีการบุกรุก  แผ้วถางป่า  ทำให้ป่าเสื่อมโทรม  ผู้นำชุมชนกลุ่มหนึ่งจึงชักชวนชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาปกป้องป่า  มีการกำหนดกฎระเบียบข้อห้าม  มีการดูแลป่าร่วมกัน  เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของชุมชน  จนทำให้ป่าฟื้นตัวขึ้นมา 

2.กลไกการขับเคลื่อน  ตัวอย่างเช่น  กรณีการต่อสู้เพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ตำบลเขาไม้แก้ว จ.ปราจีนบุรี   ทำให้เกิดการประสานความร่วมมือกันของผู้นำในท้องถิ่น  เช่น   อบต.เขาไม้แก้ว  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  คณะครูโรงเรียนบ้านเขาไม้แก้ว   รพ.สต.   และเกิดผู้นำรุ่นใหม่ที่สนใจประเด็นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชนขึ้นมา  นำไปสู่การจัดตั้งกลไกองค์กรชุมชนแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาในตำบล  และส่งเสริมให้ชุมชนมีการพัฒนาในหลายมิติ

การจัดเวทีศึกษาวิจัยเกษตรอินทรีย์ที่เขาไม้แก้ว  จ.ปราจีนบุรี

3.การมีฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ  ตัวอย่างเช่น  การดำเนินงานของ “นักจัดการข้อมูลชุมชน”  ใน      จ.ชัยนาทในระดับพื้นที่ที่ดำเนินงานร่วมกันในรูปแบบของขบวนองค์กรชุมชน   นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์ภาคประชาชนจังหวัดชัยนาท  จนได้รับการบรรจุเป็นแผนพัฒนาจังหวัด 5 ปี (พ.ศ.2566 – 2570) รวม  2 โครงการ คือ 1.โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ  2.โครงการครอบครัวดีมีภูมิคุ้มกันบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

4.มีกติกา  มีข้อตกลงร่วม  ตัวอย่างเช่น  ตำบลดงใหญ่  จ.มหาสารคาม  มีกติกาหรือข้อตกลงร่วมกันเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรป่าและสิ่งแวดล้อมในป่าชุมชน  เช่น  มีกำหนดกฎระเบียบการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน   การอนุรักษ์ป่าโดยใช้ความรู้  ภูมิปัญญา  ความเชื่อ  ประเพณีที่เกี่ยวกับป่า  เช่น  ภูมิปัญญาชาวบ้านในการจัดเก็บเห็ด  สมุนไพร  เก็บฟืน  ประเพณีบวชป่า  ฯลฯ  ทำให้ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศในป่าได้

5.บทบาทภาคประชาสังคม  กลไกสนับสนุนที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญ  ตัวอย่างเช่น   ตำบลดงใหญ่  จ.มหาสารคาม  ในอดีตมีปัญหาสิ่งแวดล้อมจากโรงงานต้มเกลือปล่อยน้ำเสีย   ทำให้ดินเค็มส่งผลกระทบไปถึงต้นน้ำลำน้ำเสียว ซึ่งเป็นสายน้ำสำคัญในการทำการเกษตรของชาวบ้าน  ต่อมาได้เกิดขบวนการอนุรักษ์ลำน้ำเสียว  โดยเครือข่ายภาคประชาสังคมในจังหวัด  จนสามารถยุติการทำโรงงานต้มเกลือได้   เมื่อเกิดการรวมตัวของกลุ่ม/องค์กรชาวบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาป่าชุมชนดงใหญ่  จึงเกิดการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชน/ภาคประชาสังคม  ทำให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการป่าชุมชน

6.การสร้าง ‘พื้นที่กลาง’ หรือ ‘พื้นที่เจรจา’ ตัวอย่างเช่น   การจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลเขาไม้แก้วขึ้นมาในปี 2555  ทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางและหน่วยประสานความร่วมมือกับองค์กรชุมชนต่างๆ ที่อยู่ในตำบลและองค์กรภาคีอื่นๆ ที่อยู่ภายนอก  รวมทั้งการทำงานเป็นเสมือนสื่อกลางระหว่างภาครัฐกับชุมชน  เป็นช่องทางในการกระจายข่าวสารจากราชการสู่ชุมชน  และเป็นผู้รวบรวมความต้องการในพื้นที่สื่อสารไปยังหน่วยงานภาครัฐ  สภาองค์กรชุมชนตำบลเขาไม้แก้วจึงมีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือกับองค์กรภาคีต่างๆ  ทั้งในชุมชนและนอกชุมชนให้มาทำงานร่วมกัน

ทีมวิจัยชาวบ้าน ต.ขอนคลาน  อ.ทุ่งหว้า  จ.สตูล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากงานวิจัย

1.นโยบายของจังหวัด/แผนพัฒนาจังหวัดที่จะให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการดูแลตนเองมากขึ้น เปิดพื้นที่ให้องค์กรชุมชนมากขึ้น มีช่องทางงบประมาณในแผนพัฒนาจังหวัดสำหรับเครือข่ายองค์กรชุมชน

2.การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ ที่ส่งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีอิสระในการทำงานและไม่เอื้อต่อการสนับสนุนชุมชน เช่น การจัดสวัสดิการชุมชน การจัดการที่อยู่อาศัยที่ดินทำกิน และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม การจัดการความมั่นคงทางอาหารชุมชน เป็นต้น

3.การสนับสนุนสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสุขภาพ

4.การสนับสนุนพื้นที่กลางหรือพื้นที่สาธารณะ (Public space) ที่ทุกคนเป็นเจ้าของ การสร้างพื้นที่ของการพูดคุย ปฏิบัติการและการสื่อสาธารณะ เพื่อเป็นทางออกหนึ่งของชุมชนและสังคมไทยที่จะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งทางสังคม และเป็นช่องทางในการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมทางสังคมในระดับต่าง ๆ ดังนั้นการส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการสร้างพื้นที่สาธารณะในระดับท้องถิ่น (ตำบล) ในระดับจังหวัด ในระดับภาค หรือในระดับชาติ จึงเป็นความท้าทายของสังคมและเป็นความท้าทายเชิงนโยบาย

ทีมวิจัยลงพื้นที่จัดประชุมที่ตำบลเปียงหลวง  อ.เชียงดาว  จ.เชียงใหม่

5.การส่งเสริมการวิจัยชุมชนท้องถิ่นเพื่อชี้เป้าปัญหาและความต้องการของชุมชน  รวมทั้งเพื่อสร้างนวัตกรรมการพัฒนาที่เหมาะสมกับชุมชน

6.การสนับสนุนการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ (Area-Based and Community Engagement) โดยเอาปัญหาและความต้องการของชุมชนเป็นตัวตั้ง และเชื่อมโยงบูรณาการภารกิจของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายต่างๆ ให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของชุมชน

7.การส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้กลไกเชิงสถาบันแบบใหม่ๆ สำหรับชุมชนให้ทันกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

8.การส่งเสริมบทบาทภาคประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง

ข้อเสนอเพื่อการขับเคลื่อนพื้นที่กลางระดับตำบลให้เป็นกลไกกลางเพื่อการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง

1.ข้อเสนอต่อขบวนองค์กรชุมชน  เช่น  เร่งสำรวจสถานภาพของสภาองค์กรชุมชนระดับตำบลและเทศบาลทั้งหมดในจังหวัด    สร้างความรู้  ความเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการสร้างพื้นที่กลางในระดับตำบลที่ต้องทำงานเชื่อมโยงกับท้องถิ่น  ปกครอง  ส่วนราชการ  และภาคีพัฒนาอื่น ๆ

สภาองค์กรชุมชนระดับตำบลต้องเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเชื่อมร้อยเพื่อให้เกิดพื้นที่กลางในระดับตำบล เพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน  จัดทีมหรือคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

2.ข้อเสนอต่อส่วนราชการระดับอำเภอ และจังหวัด  เช่น  ส่งเสริม  สนับสนุนให้เกิดพื้นที่กลาง หรือกลไกการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมระดับตำบล  เพื่อให้ชุมชนได้มีแผนงาน หรือโครงการพัฒนาที่สอดคล้องและเป็นไปตามความต้องการของพื้นที่   สร้างการเชื่อมโยงแผนการพัฒนาระหว่างพื้นที่ตำบล  อำเภอ  และจังหวัด  อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน

จัดตั้งกลไก  หรือคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด ที่ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด  สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  โดยมีตัวแทนของเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน ท้องถิ่น  ผู้นำศาสนา  ภาคประชาสังคม  และภาคีพัฒนาต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญ  เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวมของจังหวัด

เรื่องและภาพ  โดยสำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด