ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ "Kick off แนวทางการขับเคลื่อนงานจังหวัดบูรณาการฯ
เชียงราย/วันที่ 17-18 มีนาคม 2568 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับ ขบวนองค์กรชุมชนภาคเหนือ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ "Kick off แนวทางการขับเคลื่อนงานจังหวัดบูรณาการสู่จังหวัดจัดการตนเองภาคเหนือ" โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมเกี่ยวกับทิศทางการขับเคลื่อนจังหวัดบูรณาการสู่จังหวัดจัดการตนเองในภาคเหนือ พร้อมแลกเปลี่ยนบทเรียนและแนวทางปฏิบัติจากชุดประสบการณ์การเคลื่อนงานจังหวัดจัดการตนเอง 3จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ สร้างกลไกและแผนปฏิบัติการเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดจัดการตนเองในภาคเหนือ นำโดย นายกฤษฎา สมประสงค์ ผู้อำนวยการ พอช. นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนภาคเหนือ พร้อมด้วย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช. เข้าร่วมกว่า 60 คน ณ โรงแรมสยาม ไทรแองเกิ้ล เชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
ระดมแนวทางในการขับเคลื่อนจังหวัดบูรณาการสู่จังหวัดจัดการตนเอง
ในการจัดการประชุมฯครั้งนี้ ดำเนินการโดย สำนักงาน พอช. ภาคเหนือ ร่วมกับ สำนักงานประสานขบวนองค์กรชุมชนและประชาสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และออกแบบกลไกการพัฒนาจังหวัดให้เกิดการจัดการตนเองอย่างเป็นรูปธรรม
"จังหวัดจัดการตนเอง" การพัฒนาชุมชนจากฐานรากสู่ความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
นายกฤษดา สมประสงค์ ผอ.พอช. กล่าวว่า การพัฒนาชุมชนให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ไม่สามารถเกิดขึ้นจากการทำงานเพียงลำพังขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดย ยึดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นศูนย์กลาง และใช้ "พื้นที่เป็นตัวตั้ง" ในการออกแบบแนวทางแก้ไขปัญหา แนวคิด "จังหวัดจัดการตนเอง" ไม่ได้หมายถึงการดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เป็นกระบวนการที่ชุมชนต้องรู้จัก "เชื่อมโยงและบูรณาการ" กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรศาสนา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานพัฒนาให้ตอบโจทย์บริบทของพื้นที่
นายกฤษดา กล่าวต่อไปอีกว่า การพัฒนาในระดับพื้นที่จำเป็นต้องอาศัย "จตุพลัง" หรือ 4 ภาคส่วนหลัก ในการขับเคลื่อน ได้แก่ ผู้นำชุมชน ท้องที่ และท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่กับหน่วยงานภายนอก
หน่วยงานภาครัฐสนับสนุนนโยบายและงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาของจังหวัด
ภาคธุรกิจเอกชนและประชาสังคม มีบทบาทสนับสนุนทรัพยากร การลงทุน และเทคโนโลยีในการพัฒนาองค์กรศาสนา เป็นศูนย์กลางสร้างจิตสำนึกและขับเคลื่อนคุณธรรมในชุมชนท เป้าหมายของการพัฒนาจังหวัดจัดการตนเอง คือ "ให้ประชาชนอยู่ดี กินดี" ผ่านการพัฒนาใน 7 มิติสำคัญ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย สร้างโครงการบ้านมั่นคงให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม อาชีพและรายได้ สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมชุมชน การศึกษา พัฒนาความรู้และทักษะของคนในชุมชนให้เท่าทันยุคสมัย การจัดการสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสร้างระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ สาธารณสุขและสุขภาพ ยกระดับบริการสุขภาพในชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำด้านการรักษาพยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบขนส่ง สาธารณูปโภคให้เพียงพอต่อความต้องการ การบริหารจัดการโดยชุมชน สร้างกลไกให้ชุมชนสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาได้เอง
สำหรับการทำงานระดับจังหวัดมีความเข้มแข็งและยั่งยืน จำเป็นต้องมี “พื้นที่กลาง” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบการพัฒนา โดยใช้แผนพัฒนาเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการกำหนดทิศทาง สภาองค์กรชุมชน คือหนึ่งในกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการทำงานของภาครัฐกับประชาชน เพื่อให้เสียงของชุมชนถูกนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง พอช. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนขบวนองค์กรชุมชนใน 3 ด้าน ได้แก่ สร้างประชาคมจังหวัด ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาแบบองค์รวม สนับสนุนทรัพยากร เสริมสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างเครือข่ายพัฒนาในประเด็นต่าง ๆ สร้างพันธมิตรระดับชาติ ที่มี “ดาวดวงเดียวกัน” ร่วมมือกับ 7 ภาคีเครือข่าย (สช., สสส., สปสช., สวรส., พอช., บพท., นิด้า)เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผ่านการใช้จังหวัดเป็นฐาน นายกฤษดา กล่าวทิ้งท้าย
นายพลากร วงค์กองแก้ว ที่ปรึกษา พอช. สำนักงานภาคเหนือ กล่าวถึง ความสำคัญของการขับเคลื่อนจังหวัดบูรณาการสู่จังหวัดจัดการตนเอง โดยสภาองค์กรชุมชนตำบลมีการจดแจ้งจัดตั้งเต็มพื้นที่ มีการดำเนินงานตามภารกิจที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย เช่น มีการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายของสภาองค์กรชุมชนเสนอต่อหน่วยงานภาคีที่เกียวข้อง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ แต่อาจยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ฯลฯ ดังนั้น สภาองค์กรชุมชนต้องเปลี่ยน คิดค้นรูปแบบใหม่ (สร้าง Model ใหม่) ในการขับเคลื่อนงาน โดยการสร้างความร่วมมือ (วิเคราะห์หน่วยงานที่จะมาช่วยสนับสนุนการทำงานของชุมชนในพื้นที่) กำหนดวิสัยทัศน์ จัดทำแผนพัฒนาระดับพื้นที่ร่วมกัน เพื่อพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นเกิดความเข้มแข็ง ที่ไม่ใช้การทำงานรูปแบบเดิม โดยอาจจะมีกลไกบูรณาการทำงานระดับอำเภอ มีแผนพัฒนาระดับอำเภอ เช่น อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยมีภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุน ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ (การพัฒนาอาชีพ) ฯลฯ พัฒนาสู่การเป็นแผนพัฒนาระดับจังหวัด
นายทศพล เผื่อนพิภพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม ต้องให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเข้าใจถึงโอกาสและข้อจำกัดของพื้นที่ ผ่านการลงพื้นที่ทำความรู้จักชุมชนและวิถีชีวิตของประชาชน กรณีของ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าถึง 99.3% ได้นำไปสู่ "แม่แจ่มโมเดล" ซึ่งเป็นแนวทางแก้ปัญหาฮอตสปอตและสิทธิที่ดินทำกิน โดยพบว่าประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่มาก่อนที่กฎหมายป่าไม้จะประกาศใช้ จึงได้มีการเจรจาทำข้อตกลงร่วมกับชุมชน ให้หยุดเผาป่า ควบคู่ไปกับการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาสิทธิที่ดินอยู่อาศัยของชุมชน
นายทศพล กล่าวต่อ กระบวนการจัดทำแผนพัฒนาภาคประชาชน เริ่มจากระดับตำบล (กบต.) นำประเด็นปัญหาของชุมชนมากำหนดเป็นแผนพัฒนา พัฒนาเป็นแผนอำเภอ (กบอ.) นำข้อมูลจากระดับตำบลมาสังเคราะห์และกำหนดแนวทางแก้ไขเชื่อมโยงสู่แผนระดับจังหวัด บูรณาการแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัด ความยั่งยืนของการพัฒนาเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชน โดยใช้แนวทาง "Win-Win" ที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน เครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยให้ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการพัฒนา คือ "พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิด การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
ขับเคลื่อนจังหวัดบูรณาการสู่จังหวัดจัดการตนเอง
นายวิเชียร พลสยม ผู้ช่วย ผอ.พอช. กล่าวถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนจังหวัดจัดการตนเองว่า "การพัฒนาท้องถิ่นต้องเริ่มจากชุมชน การทำให้ประชาชนสามารถจัดการตนเองได้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาแบบยั่งยืน เราต้องช่วยกันสร้างกลไกให้ประชาชนสามารถกำหนดทิศทางของจังหวัดตนเองได้"
ในปี 2568 มีจังหวัดเป้าหมายในการดำเนินโครงการนี้ 13 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในภาคเหนือมี 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และพะเยา ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องที่ขบวนองค์กรชุมชนและภาคีต่าง ๆ จะร่วมกันออกแบบแผนปฏิบัติการและกำหนดตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริง
พะเยาเส้นทางสู่จังหวัดจัดการตนเอง ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
จังหวัดพะเยาเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการขับเคลื่อนแนวคิด "จังหวัดจัดการตนเอง" โดยอาศัยการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ผ่านกระบวนการที่ต่อเนื่องยาวนานและเป็นระบบ การขับเคลื่อนงานในพะเยาเริ่มต้นจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศในช่วงปี 2534 ก่อนจะขยายผลสู่การจัดตั้งเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนภายใต้ชื่อ "สภาฮอมกำกึ๊ดฮอมพญาคนพะเยา" จนกระทั่งในปี 2545 ได้มีการจัดตั้ง "ศูนย์ประสานงาน" ขึ้นเพื่อเป็นกลไกกลางในการพัฒนา และในปี 2555 ได้ขยายตัวเป็น "เครือข่ายสร้างบ้านแปงเมืองพะเยา" ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงภาคีการทำงานทุกภาคส่วน
ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดพะเยา
ปัจจุบัน พะเยาได้กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบด้าน "พื้นที่กลางทางนโยบาย" ที่สามารถบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย และเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญในการผลักดันให้จังหวัดจัดการตนเอง ยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ด้านหลัก เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ การเชื่อมโยงและสร้างความร่วมมือ กับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน การเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน เพื่อให้สามารถจัดการตนเองได้ การพัฒนาศักยภาพผู้นำ ในระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างกลไกการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารสาธารณะ เพื่อให้เกิดการรับรู้และขยายแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง
นอกจากยุทธศาสตร์หลักแล้ว จังหวัดพะเยายังให้ความสำคัญกับ 4 ประเด็นหลักในการขับเคลื่อนงาน คือ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้ชุมชนมีบทบาทในการดูแลป่าและแหล่งน้ำ การพัฒนาเกษตรปลอดภัย ส่งเสริมการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามกลุ่มวัย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผู้สูงวัย โดยการขับเคลื่อนแต่ละประเด็นเน้นให้ "เครือข่ายองค์กรชุมชนเป็นแกนหลัก" และทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน
การขับเคลื่อนจังหวัดจัดการตนเองของพะเยาใช้ "กลไกเครือข่ายสร้างบ้านแปงเมืองพะเยา" เป็นศูนย์กลางการทำงาน โดยมีภาคีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 17 หน่วยงาน องค์กรประชาสังคมและเอกชน 12 องค์กร สถาบันวิชาการ 3 องค์กร องค์กรชุมชน 24 เครือข่าย นอกจากนี้ยังมีแนวทางการทำงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การใช้ สภาองค์กรชุมชนเป็นกลไกกลาง ในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น และนำเสนอในเวทีนโยบายระดับจังหวัด
เชียงรายล้านนาแห่งความสุข ก่อร่างสร้างธรรมนูญ สู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืน
เชียงรายเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปะวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น ได้นำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรที่ผิดพลาด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกกจากการทำเหมืองถลุงทอง ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่าง สึนามิโคลน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการจัดการตนเองของจังหวัด เพื่อตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าว ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงรายได้ริเริ่มแนวคิด “เชียงรายล้านนาแห่งความสุข” โดยมีเป้าหมายให้คนเชียงรายเป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาและสร้างกลไกกลางในการขับเคลื่อนงานที่ต่อเนื่อง
ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงราย
สร้างกลไกขับเคลื่อนสู่จังหวัดจัดการตนเอง เพื่อให้เชียงรายสามารถบริหารจัดการตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรภาคประชาสังคมได้ร่วมกันจัดตั้ง “สภาคนฮักเชียงราย” และ “กลุ่มอนาคตเชียงราย” ซึ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายมิติ เช่น การเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารงานจังหวัด (กบจ.) การเป็นคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด การตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานระดับจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ แผนพัฒนาภาคประชาชนระดับจังหวัด และผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐนำแผนดังกล่าวไปบรรจุเป็นแผนหลักของจังหวัด โดยเน้น การทำงานแบบบูรณาการ ผ่านความร่วมมือกับนักวิชาการ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกำหนด 12 ประเด็นยุทธศาสตร์หลัก ในการขับเคลื่อนเชียงรายล้านนาแห่งความสุข
ประเด็นสำคัญเพื่อเชียงรายล้านนาแห่งความสุข คือ 1.ศิลปะและวัฒนธรรม อนุรักษ์และส่งเสริมอัตลักษณ์ล้านนา ชาติพันธุ์ สร้างความเท่าเทียมและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ 3.ผู้พิการ สนับสนุนการเข้าถึงสิทธิและโอกาสทางสังคม 4.เด็กและเยาวชน พัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนให้เป็นกำลังหลักของเชียงราย 5.การศึกษาตลอดชีวิต สร้างระบบการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ทุกช่วงวัย 6.ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม 7.เกษตรยั่งยืน ส่งเสริมการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม 8.สุขภาพ พัฒนาระบบสาธารณสุขและสร้างชุมชนสุขภาวะ 9.ผู้สูงอายุ ออกแบบเชียงรายให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย 10.เมืองสร้างสรรค์และผังเมือง วางแผนพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน 11.การค้าและการลงทุน พัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างสมดุล 12.การท่องเที่ยว สร้างเชียงรายให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
ปัจจุบัน เชียงรายกำลังเดินหน้าสู่การเป็นจังหวัดที่จัดการตนเองได้ผ่าน “สมัชชาเชียงรายล้านนาแห่งความสุข” ซึ่งอยู่ในระยะของการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและการจัดตั้งกลไกที่เข้มแข็ง โดยใช้ ขบวนสภาองค์กรชุมชน เป็นแกนนำหลัก เป้าหมายสำคัญของกระบวนการนี้ ได้แก่ พัฒนาพื้นที่ระดับตำบล ยกระดับการพัฒนาในพื้นที่ระดับตำบลให้มีขีดความสามารถในการจัดการตนเอง ขยายแนวร่วม สร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกจังหวัด ขยายแนวคิด ร่วมกันจัดทำ แผนปฏิบัติการ ที่มีความชัดเจน โดยเปิดเวทีหารือและปรึกษากับประชาชนในพื้นที่ ของบประมาณจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สำหรับสร้าง ธรรมนูญจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาในระยะยาว
แม่ฮ่องสอน: การแก้ปัญหาความยากจนด้วยฐานข้อมูลและต้นทุนวัฒนธรรม
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นทางธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็เผชิญกับ ปัญหาความยากจนและการพัฒนาแบบไม่ทั่วถึง มาอย่างยาวนาน แม้จะมีการกระจายการพัฒนาในระดับอำเภอ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงระดับตำบลและชุมชนได้อย่างแท้จริง เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆการออก พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551 ได้เปิดโอกาสให้เกิดการทบทวนแนวทางการพัฒนาและการทำงานของทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การพัฒนามีความต่อเนื่องและสามารถเข้าถึงชุมชนฐานรากได้มากขึ้น
ผู้นำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ร่วมมือกับ วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน และภาคประชาสังคมเพื่อพัฒนา “พื้นที่กลาง” ในระดับจังหวัดและตำบล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ สร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา และบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนให้สอดคล้องกันมากขึ้น หนึ่งในปัญหาสำคัญที่พบคือ “ความยากจน” ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาอื่น ๆ ในชุมชน ดังนั้น จึงใช้ปัญหาความยากจนเป็น “ประเด็นร่วม” ในการทำงานและพัฒนากลยุทธ์แก้ไขร่วมกัน การดำเนินงานสำคัญ ได้แก่ การสร้างคณะทำงานลุ่มแม่น้ำยวมตอนปลาย เพื่อเป็นศูนย์กลางการทำงานระดับพื้นที่ การพัฒนาบ้านพอเพียง เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ การใช้งานวิจัยแก้ปัญหาความยากจนและปศุสัตว์ การมุ่งเน้นพัฒนาชุมชนเปราะบาง และสร้างต้นแบบที่เป็นรูปธรรม การพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชน ผ่านกลไก "มหาวิทยาลัยในเงา" ซึ่งเป็นพื้นที่เรียนรู้ของชุมชนการบูรณาการแผนพัฒนา ระหว่างภาครัฐและชุมชน เช่น โครงการ “พริกกะเหรี่ยง” ที่สามารถวางจำหน่ายในร้านค้าของขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน
พื้นที่กลางระดับจังหวัดมีบทบาทในการ จัดการความรู้ ร่วมกับภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษา โดยมีเป้าหมายในการสร้าง เมืองที่มีระบบสวัสดิการที่แข็งแรง และสามารถ จัดการตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ในปี 2561 จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เสนอแนวทางการพัฒนาเชิงรูปธรรมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับ เนื่องจากข้อเสนอยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ทำให้จำเป็นต้องสร้างพลังเครือข่ายองค์กรชุมชนให้แข็งแกร่งขึ้นเป้าหมายในปี 2570 คือ การทำให้แม่ฮ่องสอนสามารถพัฒนาและจัดการตนเองได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยการสร้าง “คนรุ่นใหม่” ในขบวนองค์กรชุมชนให้สามารถรับหน้าที่เป็นแกนนำขับเคลื่อนงานพัฒนาในอนาคต
เสวนาการพัฒนาโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง เพื่อสร้างพื้นที่จังหวัดจัดการตนเอง
ทิศทางการยกระดับการจัดการตนเองเชิงพื้นที่
การขับเคลื่อนจังหวัดจัดการตนเองต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย แต่ละจังหวัดออกแบบแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง โดยมีเป้าหมายให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจ พร้อมสร้างกลไกในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง ได้แก่ 1.ขยายการพัฒนาให้เข้าถึงระดับตำบล การขับเคลื่อนจังหวัดจัดการตนเองต้องสามารถลงลึกถึงระดับตำบล ผ่าน เวทีหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดทิศทางสำคัญของพื้นที่ จัดทำแผนระยะ 10 ปี และสร้างความเข้าใจร่วมกันกับประชาชน เน้นการสร้างพลังพลเมืองและพื้นที่ต้นแบบระดับตำบล 2.การจัดตั้งกองทุนกลางระดับจังหวัด การมีแหล่งทุนสนับสนุนเป็นปัจจัยสำคัญ หากจังหวัดมีทุนตั้งต้น จะช่วยดึงดูดการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นได้ง่ายขึ้น 3.เสริมพลังการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การสร้างช่องทางสื่อสาร เช่น เว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊ก จะช่วยเผยแพร่ความก้าวหน้าของการพัฒนา ให้ภาคส่วนอื่นรับรู้และเข้ามาร่วมสนับสนุน รวมถึงช่วยขยายผลการทำงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"MOU หน่วยงาน ผนึกกำลังขับเคลื่อน ‘ภูเก็ตเกาะสวรรค์’ สู่จังหวัดจัดการตนเอง"
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. ร่วมกับ 18 หน่วยงานร่วมจัดเวทีบันทึกความร่วมมือ “ภูเก็ตเกาะสวรรค์จัดการตนเอง”
“รักจังสตูล” รวมพลังคนสตูล บูรณาการความรู้ สร้างเครือข่ายหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคมให้ยั่งยืน
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดเวทีคืนข้อมูลโครงการวิจัยบูรณาการภาคีร่วมพัฒนาเพื่อส่งเสริมชุมชนเข้มแข็งสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย
8กองทุนสวัสดิการชุมชนดีเด่นรับรางวัล ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ปี 2567 ‘ด้านการพัฒนาสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร’ กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลหนองงูเหลือม อ.เมือง จ.นครปฐม (1)
‘กองทุนสวัสดิการชุมชน’ เริ่มจัดตั้งทั่วประเทศในปี 2548 โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรัฐบาลให้การสนับสนุน
รวมพลังชุมชน ขับเคลื่อนการจัดการป่า ลดฝุ่นควัน สร้างสุขภาวะที่ดี
กรุงเทพฯ/12 มีนาคม 68 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. จับมือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนการจัดการป่าชุมชนเพื่อลดฝุ่นตวันและสร้างสุข
สสส.-พอช. ผนึกกำลัง 16 จังหวัด เดินหน้าป่าชุมชน ลดเผา-แก้ PM2.5 อย่างยั่งยืน
สสส. จับมือ พอช. และภาคีเครือข่าย เดินหน้าบริหารจัดการป่าชุมชน 60 แห่งใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เสริมศักยภาพชุมชนลดการเผา พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการป่าอย่างยั่งยืน มุ่งสู่สังคมอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพประชาชน
"ชาวนาจิตอาสา” เราทำความดีด้วยหัวใจ เลิกเผาฟางข้าว ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ในหลวง ร.10
ชัยนาท/10 มีนาคม 2568 จังหวัดชัยนาทได้จัดพิธีเปิดโครงการต้นแบบ "ชาวนาจิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ เลิกเผาฟางข้าว ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"