“สุรศักดิ์” รมช.ศธ. เดินหน้าขับเคลื่อนรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ชูโมเดล “ศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย จ.อยุธยา” ของสสส.

วันที่ 18 พ.ย. 2567 ที่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดศูนย์การเรียนรู้การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภายในงานเวทีสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย จ.พระนครศรีอยุธยา จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค จ.พระนครศรีอยุธยา

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ข้อมูลการเฝ้าระวังของศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ปี 2565-2566 พบรถรับส่งนักเรียนเกิดอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยปีละ 30 ครั้ง เฉพาะ ช่วง ม.ค.- มี.ค. ปี 2567 รถรับส่งนักเรียนเกิดอุบัติเหตุสูงถึง 15 ครั้ง มีนักเรียนเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 153 คน เป็นอัตราความรุนแรงมากกว่าปี 2566 ในทุกด้าน สาเหตุเกิดจาก 1.ความประมาทของผู้ประกอบการ หรือคนขับรถ 2.สภาพรถที่ไม่ปลอดภัย 3.ขาดการจัดการที่เป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และขาดการจัดการอย่างเร่งด่วน

“ความรุนแรงจากอุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียนในรอบหลายปีที่ผ่านมา เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และสิทธิขั้นพื้นฐาน จึงจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการสร้างมาตรการ และนโยบาย เพื่อสร้างความปลอดภัยในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทุกภาคส่วนไม่ต้องการเห็นความสูญเสียเหมือนกรณีอุบัติเหตุรถบัสไฟไหม้เมื่อ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมาอีกจึงต้องเร่งป้องกันและแก้ไขอย่างเร่งด่วน สสส. สภาองค์กรของผู้บริโภค และภาคีเครือข่าย ได้พัฒนา “ศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย” จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจ แนวคิด และแนวทางขับเคลื่อนการจัดการระบบรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน นำไปสู่การพัฒนาการจัดการระบบรถรับส่งนักเรียนปลอดภัยโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน” นายสุรศักดิ์ กล่าว

นายศรีสุวรรณ ควรขจร รองประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สสส. กล่าวว่า ข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2566 ระบุว่า มีรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์สาธารณะที่ได้รับขออนุญาตให้ใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนเพียง 3,342 คัน แต่ยังมีรถรับส่งนักเรียนอีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้รับการขออนุญาตให้บริการรับส่งนักเรียนกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่งผลต่อการกำกับมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน และเป็นปัจจัยเสริมพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับรถรับส่งนักเรียนที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ใช้รถผิดประเภท หลีกเลี่ยงการจัดทำประกันภัย ประมาทเลินเล่อ ตลอดจนดัดแปลงสภาพรถเพื่อให้รับนักเรียนได้มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียนในการเดินทาง การผลักดันให้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโรงเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมกันแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจัง
“สสส. สานพลังสภาผู้บริโภค และเครือข่ายผู้บริโภค 33 จังหวัด ภายใต้โครงการแผนงานร่วมทุนสนับสนุนองค์กรผู้บริโภค ได้พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรม พัฒนาโรงเรียนศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย 20 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กนักเรียนด้วยรถโรงเรียน โดยพัฒนาองค์ความรู้ และมาตรการไปถึงผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลานด้วยตนเอง เช่น สวมหมวกกันน็อก 100% คาดเข็มขัดนิรภัย และจะขยายไปสู่โรงเรียนในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทางให้กับเด็ก และเยาวชนทั่วประเทศ ” นายศรีสุวรรณ กล่าว

นางสาวชลดา บุญเกษม กรรมการนโยบายสภาผู้บริโภค ผู้แทนเขตภาคกลาง กล่าวว่า เวทีสร้างความร่วมมือฯ รถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจ แนวคิด และแนวทางขับเคลื่อนโรงเรียนศูนย์เรียนรู้การจัดการระบบรถรับส่งนักเรียนปลอดภัยให้กับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัยระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการจัดการระบบรถรับส่งนักเรียนปลอดภัยโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน
นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้ขับเคลื่อนและทำเรื่องรถรับส่งนักเรียนปลอดภัยร่วมกับ 6 ภูมิภาค ใน 148 โรงเรียน และมีโรงเรียนที่สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์เรียนรู้ 20 โรงเรียน โดยมีเป้าหมายสำคัญที่เน้นเรื่องความปลอดภัยของเด็กนักเรียน โดยโรงเรียนที่จะพัฒนาไปเป็นศูนย์เรียนรู้ได้ ต้องมีคุณสมบัติ 5 เกณฑ์ คือ 1. มีพื้นที่เรียนรู้ทางกายภาพ มีรถรับส่งนักเรียน มีพื้นที่จุดจอด 2. มีองค์ความรู้ในเรื่องการจัดการรถรับส่งนักเรียน 3. มีบุคลากรจัดการที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ 4. มีรูปแบบการจัดการศูนย์เรียนรู้ 5. มีแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

“สำหรับองค์ประกอบ 9 ด้านที่เป็นกรอบการพัฒนาโรงเรียนศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัยนั้น มาจากการทำงานตลอด 7 ปี ซึ่งประกอบไปด้วย 1. มีระบบข้อมูลนักเรียน รถ คนขับ เส้นทาง พฤติกรรมคนขับ 2. ระบบเฝ้าระวัง ให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยรายงานปัญหาได้ 3. มีระบบการดูแลนักเรียนในรถที่ถูกต้อง ทั่วถึง 4. มีการรวมกลุ่มคนขับ สร้างข้อปฏิบัติหรือวางแผนร่วมกันในการดำเนินการเพื่อสร้างความปลอดภัย 5. ต้องมีมาตรฐาน มีขั้นตอนตรวจสอบสภาพรถ และขึ้นทะเบียนกับขนส่ง 6. มีจุดจอดรถที่ปลอดภัย และระบบความปลอดภัยหน้าโรงเรียน 7. มีระบบคณะทำงาน และหลักเกณฑ์เพื่อติดตามประเมินผลทั้งระบบ 8. มีกลไกจัดการโดย ครู นักเรียน กรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครอง 9. มีคณะทำงานระดับอำเภอหรือจังหวัด” นายคงศักดิ์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สสส.สานพลังภาคี ขจัดความเหลื่อล้ำกิจกรรมทางกาย ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่

กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม

สสส.-สคล. ผนึกภาครัฐ เอกชน จัดแข่งฟุตซอลเยาวชนไม่เกิน 15 ปี ชิงถ้วยกรมสมเด็จพระเทพฯ

สสส. โดยสมาคมเครือข่ายงดเหล้าและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ (สคล.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายและภาคเอกชน รวม 7 องค์กร ลงนามความร่วมมือ พร้อมจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ

"สิทธิในอาหารเพื่อชีวิตที่ดี" ความตระหนักรู้เสริมสุขภาวะ

เด็กทั่วโลกเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร เพราะการบริโภคไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาวะอ้วนผอม ชาวโลกเผชิญความอดอยากเกือบ 300 ล้านคน

สสส.ชวนคนรักสุขภาพ ร่วม'เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง' กระตุ้น'นักวิ่งหน้าใหม่'ลงสนาม8ธ.ค.นี้

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ สมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย จัดงานแถลงข่าว Thai Health Day Run 2024 วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่ ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด “เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง” ในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ ที่สะพานพระราม 8 โดย สสส. มุ่งจุดกระแสกิจกรรมทางกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต ซึ่งจากผลสำรวจอายุคาดเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2567 ของ www.worldometers.info ระบุว่า ไทยมีอายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ 76.56 ปี อายุยืนเป็นอันดับที่ 78 ของโลก ขณะที่ข้อมูลจากฐานข้อมูลการตาย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561-2565 พบคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 164,720 ราย สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คือ ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิถีชีวิต

เจียระไนเพชร 3 องค์กรต้นแบบ สร้างเสริมสุขภาวะในที่ทำงาน

"ในอดีตเรารบกับเชื้อโรค มีการโจมตีด้วยเทคโนโลยี แต่วันนี้เรากำลังสู้กับกิเลสของมนุษย์ โรค NCDs เกิดขึ้นจากเราสร้างสุขเทียมเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตัวเอง เติมรสหวาน มัน เค็ม สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า

อึ้ง ! ความเหงา-โดดเดี่ยว ภัยเงียบที่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน หรือดื่มเหล้าวันละ 6 แก้ว

เวลา 09.00 น. วันที่ 1 พ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับธนาคารจิตอาสา ภาคีภาครัฐ และภาคเอกชน จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ “เดือนการฟังแห่งชาติ” หรือ “National Month of Listening” เพื่อกระตุ้นให้สังคมเห็นความสำคัญของการดูแลความสัมพันธ์ด้วย