ยกร่างเสร็จ ! “โสภณ” เผยยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับ กรรมาธิการศึกษา สำเร็จแล้ว เชื่อ เป็น "ฉบับปฏิวัติการศึกษา” กำหนดทิศทางการศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงของโลก ตีกรอบ 15 วัน รับฟังความเห็นทุกพรรคการเมือง

19 กันยายน 2567 นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวเกี่ยวกับการยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา
.
นายโสภณ กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับนี้คือ “พ.ร.บ.ฉบับปฏิวัติการศึกษา” ซึ่งจะเป็นกฎหมายสำคัญในการกำหนดทิศทางการจัดการศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้ “ทั่วถึง เท่าเทียม ทันยุค” ซึ่งปัจจุบันมนุษย์ได้รับผลกระทบ
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย และกว้างขวาง อันส่งผลให้เกิดการลดลงของประชากร ความเป็นอยู่ของคนในสังคมที่ยากลำบาก
ขึ้น ปัญหาต่างๆ ในสังคมที่มีมากมาย ล้วนเกิดจากอิทธิพลทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และวัฒนธรรมทั้งสิ้น
.
การศึกษานั้นจึงเป็นหลักประกันที่สำคัญ ที่จะสร้างองค์ความรู้ ความสามารถ และภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ
และความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชาติ จากการที่คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่ทุกภาคของประเทศ เพื่อเก็บข้อมูลสภาพจริงเชิงลึก และรับฟังข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน และได้นำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์ ในหลายๆ ที่อย่างครอบคลุมทุกประเด็น ใช้เวลาทำงานอย่างต่อเนื่อง ทุ่มเท เสียสละ ร่วม 1 ปี เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนในสังคมอย่างแท้จริง จึงมั่นใจว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ สามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศได้อย่างตรงจุด และตรงประเด็น ปัจจุบันจำนวนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของเรา เป็นสถานศึกษาขนาดเล็กกว่า 14,000 แห่ง และพบว่ามีปัญหาการจัดการศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมด้านบุคลากร สื่อวัสดุอุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ไม่เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่มีความสุขในการเรียน จึงออกจากระบบการศึกษา มากถึง 1,020,000 คน
.
ใน พ.ร.บ.นี้ มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหลายมิติ ไม่ว่าจะกำหนดให้มีการใช้ทรัพยากรด้านครู สื่อการเรียน ทรัพยากรอื่นๆ ร่วมกันในรูปแบบของกลุ่มโรงเรียน เพื่อสร้างความพร้อมในการจัด การศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาที่พบได้อย่างเหมาะสม พ.ร.บ.นี้ ยังให้ความสำคัญต่อการลดภาระของผู้ปกครอง และผู้เรียน โดยจัดให้มีระบบธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติขึ้น เพื่อผู้เรียนสามารถนำผลการเรียนมาสะสมเทียบโอน และใช้ประโยชน์ในการเพิ่มคุณวุฒิการทำงานและการศึกษาต่อ โดยจะเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้ว ให้ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ หรือ สกร.เป็นหน่วยงานกลาง ในการดำเนินการดังกล่าว เป็นต้น
.
สำหรับ การจัดการการศึกษาระดับปฐมวัย ต้องให้ความสำคัญ กับการศึกษาของเด็กปฐมวัย ให้ได้รับการ พัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ ปลูกฝังภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้ใฝ่ดี เพราะเด็กวัยนี้เป็นวัยที่สามารถกำหนดคุณสมบัติของคนเราเกือบจะทั้งหมด การให้การศึกษาในวัยนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
.
ปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน ทำให้เด็กส่วนใหญ่ ในท้องถิ่นไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่ต้องดิ้นรนเพื่อปากท้อง ออกจากบ้านเพื่อหางานทำ จึงฝากบุตรหลานไว้กับ ปู่ย่า ตา ยาย ความอบอุ่นที่ได้รับก็ลดน้อยลง ความผูกพันกับพ่อแม่แทบจะไม่มีเลย ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงต้องเป็นพ่อแม่ คนที่ 2 ของเด็ก ปลูกฝัง สร้างความรัก ความอบอุ่นได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้แล้ว พ.ร.บ.นี้ยังให้ความสำคัญกับระบบการศึกษา ได้ปรับเปลี่ยนเป็น 2 ระบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อสร้างความเสมอภาคทาง ความรู้สึกและให้ความสำคัญของระบบทั้งสองอย่าเท่าเทียมกัน และเพื่อสนองตอบต่อความถนัด ความสามารถของผู้เรียน ได้เรียนรู้ในรูปแบบที่ถนัด และหลากหลาย ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ยังระบุให้เป็นการจัดการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา - อาชีวศึกษา (วุฒิ ปวช.) เพื่อเปิดโอกาสในการเรียนฟรี สำหรับผู้ที่ถนัดสายสามัญ ก็จะถูกพัฒนาให้เป็นมันสมองของชาติ และผู้ที่ถนัดทักษะอาชีพ ก็จะเป็นกลไกสำคัญของตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ และสร้างรายได้ ยกฐานะทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ และยังมีการปฏิวัติอีกหลายๆเรื่อง อาทิ เช่น ปรับปรุงการวัดผลประเมินผล การประเมินคุณภาพภายนอก ต้องมี ความน่าเชื่อถือ และไม่เป็นภาระของครูเหมือนในอดีตที่ผ่านมา พ.ร.บ.นี้จึงไม่บัญญัติ หน่วยงาน สมศ.ให้ทำภารกิจดังกล่าว
.
“ในด้านโครงสร้างการบริหาร ก็จะต้องปรับเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงานของส่วนราชการ ซึ่งจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานให้มากยิ่งขึ้น ในลักษณะ “จิ๋ว แต่ แจ๋ว” และเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็น สำหรับการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรับไปในทางที่ดี มีความชัดเจน มีประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ ดังคำกล่าวที่ว่า “ทั่วถึง เท่าเทียม ทันยุค” หลังจากนี้ จะได้ส่งนำร่าง พ.รบ.ดังกล่าว ส่งให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้เสนอข้อเสนอแนะมายังคณะ กมธ. ภายใน 15 วัน และนำมาปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น จากนั้นพร้อมนำเสนอสภาผู้แทนราษฎร ให้ทันภายในสมัยการประชุมนี้ต่อไป” นายโสภณ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ภูมิใจไทย' แถลงมติหนุนแก้รธน.ทั้งฉบับผ่าน สสร. ชี้มาตรฐานจริยธรรมจำเป็นต้องมี

นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.พรรคภูมิใจไทย​ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค แถลง​การประชุมสส.ประจำสัปดาห์​ว่า​ ที่ประชุมได้มีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

'วัฒนา ช่างเหลา' ลาออกภูมิใจไทย ย้ายซบเพื่อไทย ลงสมัครนายก อบจ.ขอนแก่น

นายวัฒนา ช่างเหลา อดีตผู้สมัคร สส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยไปก่อนหน้านี้ จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อเตรียมลงสมัครชิงตำแหน่งนายกอบจ.ขอนแก่นในนามพรรคเพื่อไทย เ

'ภราดร' ชี้ปมแก้จริยธรรม ต้องรอบคอบ นักการเมืองคิดแทนประชาชนไม่ได้

นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และสส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย(ภท.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม ผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล

'อนุทิน' หนุนแก้รธน.รายมาตรา ปมจริยธรรมต้องตีกรอบ ย้ำไม่แตะหมวด 1,2

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

'วันนอร์' เผยนำชื่อ 'พิเชษฐ์-ภราดร' ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นรองประธานสภาฯแล้ว

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงขั้นตอน หลังเลือกรองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง และรองประธานสภภาฯคนที่สองว่า วันนี้ (11 ก.ย.)จะนำรายชื่อ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน

'อนุทิน' ไร้ปัญหา ภูมิใจไทยได้รองประธานสภาฯ คนที่สอง ถือเป็นไปตามกติกา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึง ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า เพิ่งทราบ เรื่องที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ได้ลาออกจากรองประธานสภาฯคนที่สอง