EGCO Group โชว์เคสการลงทุนในสหรัฐฯ ควบคู่ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบโรงไฟฟ้าและป่าต้นน้ำ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group โดย ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมแชร์ประสบการณ์การขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการลงทุน Linden Cogen และ APEX ในสหรัฐอเมริกา การดูแลความหลากหลายทางชีวภาพรอบพื้นที่โรงไฟฟ้าที่ดำเนินธุรกิจและการอนุรักษ์    ป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศผ่านมูลนิธิไทยรักษ์ป่า พร้อมเสนอกลไก 6 ด้าน ที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืน บนเวทีเสวนา “CEO Forum: Climate Action Leading Towards Net Zero” ภายในมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2567 จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group กล่าวว่า EGCO Group ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงาน ตามทิศทาง “Cleaner, Smarter and Stronger to drive sustainable growth” ที่ให้ความสำคัญกับการร่วมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่มีผลกระทบรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยได้ประกาศเป้าหมายและแนวทางมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 3 ระยะ ได้แก่

  • เป้าหมายระยะสั้น เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% และลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลง (Carbon Emissions Intensity) 10% ภายในปี 2030 ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ได้แก่ การนำไฮโดรเจนหรือแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า (Hydrogen or Ammonia co-firing) และนำเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาปรับปรุงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่กับการลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก เช่น ไฮโดรเจน
  • เป้าหมายระยะกลาง มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2040 ผ่านการลงทุนในพลังงานสีเขียวและพลังงานสะอาด โดยเฉพาะไฮโดรเจน อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนขยายการประยุกต์ใช้ CCUS ในโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ในปัจจุบัน
  • เป้าหมายระยะยาว บรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 จากการปรับปรุง Portfolio ให้เป็นพลังงานสะอาด 100% ตลอดจนการติดตั้ง CCUS ในโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการทุกแห่งและขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่คุณค่า

EGCO Group ผลักดันแนวทางมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการลงทุนที่สำคัญในสหรัฐฯ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้า Linden Cogen หน่วยที่ 6 กำลังผลิต 172 เมกะวัตต์ ในเมือง     ลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่ง EGCO Group ถือหุ้น 28% ให้สามารถรองรับก๊าซที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้านี้ลงประมาณ 10% และการลงทุนในสัดส่วน 17.46% ในบริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง แอลแอลซี (APEX) ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ ที่มีกำลังผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ไฮโดรเจน และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ใน Pipeline รวมกว่า 200 โครงการ กำลังผลิตรวมกว่า 56,000 เมกะวัตต์ APEX จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ EGCO Group สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีสัดส่วน 21% ของ Portfolio ในปัจจุบัน เป็น 30% ภายในปี 2030

นอกจากนี้ EGCO Group ได้ดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ผ่านการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น โรงไฟฟ้าขนอม จ.นครศรีธรรมราช มีโครงการจัดทำข้อมูลฐานสัตว์บ่งชี้ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น ตลอดจนดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟู      ป่าต้นน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพลังงาน ผ่านมูลนิธิไทยรักษ์ป่า องค์กรสาธารณกุศลที่ EGCO Group ก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานมากว่า 22 ปี รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนให้สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุลและยั่งยืน เช่น โครงการพัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำใน จ.เชียงใหม่ และ จ.นครศรีธรรมราช และโครงการ “ฟื้นฟูป่า รักษาตาน้ำ” จ.ชัยภูมิ เป็นต้น

“EGCO Group มุ่งมั่นดูแลสิ่งแวดล้อมและสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ขององค์กรในปี 2050 ควบคู่กับการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยในปี 2065 ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการกลไกการส่งเสริมใน 6 ด้าน คือ 1.การกำหนดนโยบาย Net Zero ที่ชัดเจน 2.การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ ทั้งภาคสมัครใจและภาคบังคับ 3.การปรับโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐเพื่อรองรับนโยบาย Net Zero 4.การพัฒนาศักยภาพและจำนวนบุคลากรให้เพียงพอ 5.การพัฒนา แพลตฟอร์มเก็บและแบ่งปันข้อมูล 6.การออกมาตรการส่งเสริมในด้านต่าง ๆ อาทิ การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจเพื่อปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การสร้างตลาดซื้อขายคาร์บอนและใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาให้เกิดห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) การให้สิทธิประโยชน์และสร้างแรงจูงใจ เช่น มาตรการด้านภาษี และการสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นต้น นอกจากนี้ อีกสิ่งที่สำคัญคือ การส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำร่วมกันอย่างยั่งยืน” ดร.จิราพร กล่าวสรุป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บอร์ด EGCO Group ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2567 หุ้นละ 3.25 บาท สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้นต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจ

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 หุ้นละ 3.25 บาท

“เข็มเหล็ก” จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ชูนวัตกรรมตอบโจทย์มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมประกาศจัดงานใหญ่ “88 Green Day”

ในยุคที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นหัวใจหลักของทุกภาคอุตสาหกรรม บริษัท เข็มเหล็ก จํากัด ก้าวสู่การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านแนวคิด “Green Construction Technology”

EGCO Group แต่งตั้ง “กัมปนาท บำรุงกิจ” เป็นกรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศแต่งตั้ง นายกัมปนาท บำรุงกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ

EGCO Group ปิดดีลซื้อหุ้น 50% 'กลุ่มโรงไฟฟ้า Compass' อเมริกา

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประสบความสำเร็จในการปิดดีลซื้อหุ้น 50% ใน “กลุ่มโรงไฟฟ้า Compass” กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จครั้งนี้ส่งผลให้ EGCO Group มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 652 เมกะวัตต์

TCMA รวมพลังอาเซียนซีเมนต์ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สู้วิกฤติโลกเดือด

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นตัวการสำคัญของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ส่งผลให้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั่วโลก