องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศถอนภาวะการมีเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด ออกจากหมวดความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมในบัญชีจำแนกโรคสากลฉบับที่ 10 (ICD-10) และบรรจุใหม่ใน ICD-11 ในหมวดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะทางเพศแทน เพื่อส่งเสริมการเคารพสิทธิของคนข้ามเพศ และคนที่มีความหลากหลายทางเพศกลุ่มอื่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2565
จากรายงานการเกณฑ์ทหารของคนข้ามเพศ ต่อการระบุผลการตรวจร่างกายในประเทศไทยปี 2565 โดยมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สมาคมเพศวิถีศึกษาพบคนข้ามเพศ พบว่าส่วนใหญ่ 91% กลับไม่มีความรู้เรื่องการประกาศถอดถอนภาวการณ์ที่มีเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด ออกจากหมวดความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรม ส่งผลให้คนข้ามเพศคิดว่าตัวเองป่วยโรคผิดปกติทางจิต และไม่เข้ารับบริการสุขภาพเพราะไม่ต้องการตอบปัญหาเกี่ยวกับเพศสภาพ ส่งผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิต สะท้อนแนวโน้มกลุ่มคนข้ามเพศส่วนหนึ่งที่เข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงองค์ความรู้ ประกอบกับสถานบริการที่ให้คำปรึกษามีจำกัด และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ด้วยประเด็นปัญหาดังกล่าว เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้สานพลัง มูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยฯ และภาคีเครือข่ายจัดเวทีเรื่อง “ผลจากการเปลี่ยนแปลงการระบุความเจ็บป่วยใน ICD-11 สู่โอกาสในการเข้าถึงบริการ : จากครอบครัวสู่ระบบบริการสุขภาพเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ” เนื่องในเทศกาลไพรด์ (Pride Month) ตลอดเดือน มิ.ย. ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ข้อมูลจากสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า “หมุดหมายสำคัญของคนข้ามเพศจะต้องได้รับการบริการ สุขภาพตามเจตจำนงการใช้ชีวิต ดังนั้น สสส.ประสานพลังทุกฝ่าย ฝากให้ทุกคนช่วยกันปรับเปลี่ยนวิธีคิด การรักษา คนทั่วโลกเปลี่ยนแปลงจะลดความแตกต่าง ช่วง 2 ปีของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบจึงเป็นงานที่ท้าทาย เพราะคนที่อยู่ในระบบแพทย์แบบเก่าเป็นสิบๆ ปี ยอมรับการเปลี่ยนข้ามเพศเป็นความสวยงดงาม ผู้ให้บริการทางสุขภาพ พยาบาลปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการปฏิบัติต่อผู้รับบริการอย่างไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิต"
"การจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการขยายความร่วมมือ พัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ที่สอดแทรกเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในสถานศึกษา และบริการสุขภาพในสถานพยาบาลที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดีของคนข้ามเพศ สร้างการรับรู้ของคนข้ามเพศและผู้จัดบริการสุขภาพ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบสุขภาพและการให้บริการต่างๆ รวมถึงสร้างมาตรการหรือแนวปฏิบัติในการจัดบริการสุขภาพ ที่สอดคล้องตามการเปลี่ยนแปลงการระบุความเจ็บป่วยในบัญชีจำแนกโรคสากล ICD-11 ต่อไป ทั้งนี้ สปสช.เปิดให้สิทธิประโยชน์ในการผ่าตัดแปลงเพศ เพราะปกติค่าใช้จ่ายในการแปลงเพศมีสนนราคาสูงมาก” สสส.เปิดเผย
ผศ.รณภูมิ สามัคคีคารมย์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยฯ และรองคณบดีสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมานั้นการผ่าตัดแปลงเพศให้ฮอร์โมนมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่สามารถเบิกจ่ายในระบบ สปสช.ได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพครอบคลุมแพทย์เชิงพาณิชย์ภาคเอกชน ถ้าหากนำเข้าสู่ระบบการบริการภาครัฐตั้งแต่ต้นจะลดภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างดี เพราะทุกวันนี้คนที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจะไปทำกับคลินิกเถื่อน หรือทำกับแพทย์กระเป๋า เมื่อไม่ได้มาตรฐานเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ก็ต้องกลับมารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ พบเป็นข่าวคนข้ามเพศเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศแล้วเสียชีวิตไม่ถึง 10 รายที่มีการรายงานเข้ามายังมูลนิธิฯ เพราะเข้าสู่ระบบการรักษาภาครัฐช้าเกินไป ยังไม่นับรวมเมื่อมีการติดเชื้อส่งผลต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ ต้องเปลี่ยนแปลงอาชีพ
“การส่งเสริมสุขภาพทางเพศด้วยการแปลงเพศตามสภาพที่ตนเองต้องการ คนที่แปลงเพศจะต้องมีเงินเพื่อเปลี่ยนแปลงเพศสภาพจากชายเป็นหญิง ทำศัลยกรรมหน้าอกใช้ฮอร์โมนเพื่อเปลี่ยนเพศและต้องกินยาฮอร์โมนตลอดชีวิตเพื่อกดฮอร์โมนเดิมให้ต่ำลง เพิ่มฮอร์โมนหญิงเข้าไปแทนที่ เปลี่ยนเสียง ใช้เงิน 6-9 แสนบาท ถ้าเปลี่ยนจากหญิงเป็นชายต้องใช้เงินมากกว่าชายเป็นหญิงถึง 2 เท่า เพราะกลไกของร่างกายมีความซับซ้อนมากกว่า สมัยก่อนไม่มีแพทย์โดยตรงที่จะให้ฮอร์โมนในระดับที่ปลอดภัย เพราะให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ช่วงหลังจึงส่งแพทย์ไปเรียนต่อเฉพาะทางโดยตรงที่สหรัฐฯ อังกฤษ ปัจจุบันมี รพ.ที่รับรักษาคนไข้ที่ผ่านการแปลงเพศแล้วที่ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช รพ.จุฬาฯ รพ.ธรรมศาสตร์ เพราะส่งแพทย์ไปเรียนโดยตรง”
กิจกรรมครั้งนี้เน้นสร้างการรับรู้ในตัวตนให้กลุ่มคนข้ามเพศ และหน่วยงานผู้จัดบริการสุขภาพ รวมถึงเกิดมาตรการหรือแนวปฏิบัติร่วมกันในการจัดบริการสุขภาพที่มีความสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก โดยใช้หลักการไม่ระบุว่า คนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นหรือมีภาวะของความผิดปกติทางจิต หรืออาการเจ็บป่วยอีกต่อไป ที่สำคัญเป็นพื้นที่ให้กลุ่มคนข้ามเพศได้ส่งเสียงสะท้อน จากสถานการณ์การตีตราว่าป่วยโรคจิตผิดปกติ และครอบครัวที่มีสมาชิกคนข้ามเพศได้ร่วมกันสะท้อนปัญหาและความต้องการบริการทางการแพทย์ เพื่อยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ ตามกระบวนการทำความเข้าใจเรื่อง ICD-11 ช่วยให้คนข้ามเพศเข้าถึงกระบวนการทางการแพทย์เพื่อยืนยันเพศสภาพ และการดูแลสุขภาพองค์รวม รวมถึงลดอคติ การเหยียดเพศ และเกิดการยอมรับของคนในสังคมเพิ่มขึ้น
นพ.เบญทวิช สุรศาสตร์พิศาล แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว Pride Clinic โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สมาคมเพื่อการพัฒนาสุขภาพบุคคลข้ามเพศและเพศหลากหลาย (ประเทศไทย) (ThaiPATH) เป็นแพทย์ไทย 1 ใน 20 คนที่จบมาทางด้านแพทย์เฉพาะทาง ในการใช้องค์ความรู้ที่เรียนมาจาก รพ.รามาธิบดีและประเทศสหรัฐฯ เพื่อรักษากลุ่ม LGBTQ+ พร้อมยืนยันด้วยว่า กลุ่มหลากหลายทางเพศไม่ได้มีความผิดปกติทางจิต คนกลุ่มนี้ควรเข้าถึงการให้บริการด้านสุขภาพตามที่เขาต้องการ เพื่อสนองความต้องการทางเพศ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่คนข้ามเพศทุกคนที่ต้องการจะผ่าตัดใช้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเพศตัวเอง บางคนพึงพอใจที่จะใช้ชีวิตตัวเองตามเพศสภาพ แต่งตัวตามความพอใจ.
รู้จัก..ICD-10 ICD-11
บัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องฉบับที่ 10, 11
ICD-11 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ความไม่สอดคล้องทางเพศสภาวะ (Gender Incongruence) ในบทที่ 17 ภาวะที่สัมพันธ์กับสุขภาพทางเพศ
ปี 2562 ICD-11 ถอนภาวการณ์มีเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิดออกจากหมวดความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรม ปี พ.ศ.2561 องค์การอนามัยโลกประกาศใช้ ICD-11
ปี 2555 กระทรวงกลาโหมกำหนดหลักเกณฑ์ ข้อยกเว้นการคัดเลือกเข้ารับราชการทหารของคนข้ามเพศให้เป็นบุคคลจำพวก 2 “ภาวะเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด (Gender Identity Disorder)”
ปี 2554 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนข้อความระบุว่า “เป็นโรคจิตถาวร” ในแบบ สด.5แบบ สด.9 และแบบ สด.43
ปี 2553 ถอดเรื่องความหลากหลายทางเพศสภาพ (Gender Diversity) ออกจากการเป็นโรคหรือความเจ็บป่วยทางจิต
ปี 2549 กลุ่มคนข้ามเพศยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนการระบุข้อความว่า “เป็นโรคจิตถาวร”
ปี 2540 เอกสารผลการตรวจเลือด (แบบ สด.43)ระบุข้อความว่า “เป็นโรคจิตถาวร”
ปี 2537 ประกาศใช้ ICD-10 และกำหนดให้บุคคลข้ามเพศเป็นความผิดปกติของอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity Disorders : GID)
ปี 2533 องค์การอนามัยโลกกำหนดให้บุคคลรักเพศเดียวกันจัดอยู่ในกลุ่มของโรคความผิดปกติทางจิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชวนนักดื่ม “ตรวจตับ-เลิกจับขวด” ฟื้นฟูสุขภาพคืนความสุขครอบครัว
"งดเหล้าเข้าพรรษา" ในระยะเวลา 3 เดือน ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในเทศกาลสำคัญ ที่มุ่งเน้นให้ชาวพุทธงดดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เพียงเป็นการรักษาประเพณีและศีลธรรมเท่านั้น
“สุรศักดิ์” รมช.ศธ. เดินหน้าขับเคลื่อนรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ชูโมเดล “ศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย จ.อยุธยา” ของสสส.
วันที่ 18 พ.ย. 2567 ที่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดศูนย์การเรียนรู้การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภายในงานเวทีสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนั
สสส.สานพลังภาคี ขจัดความเหลื่อล้ำกิจกรรมทางกาย ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
สสส.-สคล. ผนึกภาครัฐ เอกชน จัดแข่งฟุตซอลเยาวชนไม่เกิน 15 ปี ชิงถ้วยกรมสมเด็จพระเทพฯ
สสส. โดยสมาคมเครือข่ายงดเหล้าและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ (สคล.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายและภาคเอกชน รวม 7 องค์กร ลงนามความร่วมมือ พร้อมจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ
"สิทธิในอาหารเพื่อชีวิตที่ดี" ความตระหนักรู้เสริมสุขภาวะ
เด็กทั่วโลกเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร เพราะการบริโภคไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาวะอ้วนผอม ชาวโลกเผชิญความอดอยากเกือบ 300 ล้านคน
สสส.ชวนคนรักสุขภาพ ร่วม'เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง' กระตุ้น'นักวิ่งหน้าใหม่'ลงสนาม8ธ.ค.นี้
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ สมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย จัดงานแถลงข่าว Thai Health Day Run 2024 วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่ ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด “เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง” ในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ ที่สะพานพระราม 8 โดย สสส. มุ่งจุดกระแสกิจกรรมทางกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต ซึ่งจากผลสำรวจอายุคาดเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2567 ของ www.worldometers.info ระบุว่า ไทยมีอายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ 76.56 ปี อายุยืนเป็นอันดับที่ 78 ของโลก ขณะที่ข้อมูลจากฐานข้อมูลการตาย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561-2565 พบคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 164,720 ราย สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คือ ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิถีชีวิต