เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สานพลัง ภาคีเครือข่าย ประกาศเจตนารมณ์การป้องกันการคุกคามทางเพศ โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ นิด้าโพล สำรวจสถานการณ์การคุกคามทางเพศในที่ทำงาน วันที่ 9-16 พ.ค. 2567 กลุ่มตัวอย่างอายุ 20 ปีขึ้นไป 2,000 คน ทั้งข้าราชการ ลูกจ้างของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เอกชน ซึ่งเกือบ 1 ใน 4 หรือ 23.5% เคยเห็นการคุกคามทางเพศในสถานที่ทำงาน ขณะที่ 6.3% แหรือ 126 คน เคยถูกคุกคามทางเพศ สิ่งที่ถูกกระทำมากที่สุดคือด้วยวาจา 50% พูด-วิจารณ์สัดส่วนร่างกาย และถึงขั้นขอหรือชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์ 2.88% ด้านกิริยา จ้องมองแทะโลมด้วยสายตามากที่สุด 86.21%
นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ด้านร่างกาย 70.83% ถูกจับมือ แตะไหล่ แขน หลัง 66.67% เข้ามาใกล้หรือเบียด 8.33% ลูบ คลำ ต้นคอ บ่า หลัง 4.17% ถูกกอดจูบ และ 4.17% เคยถูกใช้กำลังบีบบังคับให้ทำกิจกรรมทางเพศ กลุ่มตัวอย่างที่ถูกคุกคามทางเพศ 62.5% ได้รับข้อความส่อไปทางเพศ 25% ได้รับภาพเคลื่อนไหวลามก 12.5% ได้รับภาพร่างกายหรืออวัยวะเพศ บุคคลที่เป็นผู้คุกคามทางเพศอันดับหนึ่ง คือ เพื่อนร่วมงาน 81.75% หัวหน้า/ผู้บังคับบัญชา 16.67% ลูกค้า/ผู้รับบริการ 8.73% ลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชา 5.56% ผู้บริหาร/เจ้าของบริษัท 3.17% ส่วนมาตรการที่อยากให้หน่วยงานมี เพื่อจัดการกับการคุกคามทางเพศ กลุ่มตัวอย่างทั้งที่ถูกคุกคามและพบเห็นการคุกคาม 33.5% อยากให้มีบทลงโทษที่ชัดเจนกับผู้กระทำในลักษณะต่างๆ 30.4% มีนโยบายป้องกันที่ชัดเจน 25.8% มีช่องทางร้องเรียนสายตรงผู้บริหาร 25.25% มีฝึกอบรมพนักงาน
“เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างที่ถูกคุกคามทางเพศว่า ทำอย่างไรต่อจากนั้น 38.10% ไม่ทำอะไรเลย อีก 33.33% ใช้วิธีต่อว่า 3.17% ขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่อยู่ในบริเวณนั้น มีไม่ถึง 3% ที่ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกหรือแจ้งความ เช่นเดียวกับกลุ่มตัวอย่างที่เคยพบเห็นการคุมคามทางเพศ ส่วนใหญ่ 55.32% ไม่ทำอะไรเลย แต่น่ายินดีว่าอีก 29.57% เข้าไปต่อว่า 8.09% แจ้งหัวหน้า/ผู้บังคับบัญชา จากผลสำรวจรวมถึงความต้องการให้มีมาตรการจัดการป้องกันการคุกคามทางเพศที่ชัดเจน รวมไปถึงการที่ผู้ถูกคุกคามและผู้ที่พบเห็นการคุกคามทางเพศส่วนใหญ่ เลือกจะนิ่งเฉย อาจเกิดจากหลายเหตุผล ทั้งหวาดกลัว ทั้งไม่แน่ใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือไม่มั่นใจว่าถ้าไปร้องเรียนหรือแจ้งความ จะได้รับผลอย่างไร สะท้อนว่าการคุกคามทางเพศในสถานที่ทำงานเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เหยื่อยังรอความช่วยเหลือ ผู้ที่พบเห็นยังอยากให้มีการแก้ไข ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นเหยื่อ ยังต้องการความปลอดภัย หากทุกหน่วยงาน องค์กร รวมพลังกันป้องกัน แก้ไข การคุกคามทางเพศ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงพฤติกรรมทั้งการกระทำ วาจา สายตา ที่เป็นการคุกคามทางเพศ มีมาตรการจัดการผู้กระทำ และช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เกิดการคุกคามทางเพศในที่ทำงานได้” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
นพ.พงศ์เทพ กล่าวอีกว่า การคุกคามทางเพศเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกสถานที่ สสส. ขอชวนทุกคน ทุกหน่วยงาน องค์กร ร่วมแสดงพลังป้องกัน ต่อต้าน การคุกคามทางเพศ ทุกที่ ทุกรูปแบบ เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดจากการคุกคามทางเพศ สร้างบรรทัดฐานการไม่ยินยอม ร่วมส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างบุคคล ปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน ในระดับองค์กร สสส. ประกาศเจตนารมณ์ 1.บริหารงาน และปฏิบัติงานบนความเสมอภาค เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 2.สร้างวัฒนธรรมองค์กร ปลูกฝั่งค่าที่นิยมที่ดี 3.สร้างสภาพแวดล้อม ส่งเสริมความปลอดภัยในองค์กร 4.มีกลไกและกระบวนการในการป้องกันการคุกคามทางเพศ โดยยกระดับการป้องกันการคุกคามทางเพศที่เข้มข้นขึ้นด้วยมาตรฐานสากล 1.ตั้งหน่วยรับเรื่องร้องเรียนภายนอกคุ้มครองเหยื่อ 2.มีแนวปฏิบัติการรักษาความลับ 3.จัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรของ สสส. เรื่องการปกป้อง คุ้มครองการคุกคามทางเพศ และจะขยายผลไปถึงภาคีเครือข่ายกว่า 2,000 องค์กร ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำมาตรฐานการตรวจสอบ โดยจะไม่สนับสนุน หรือร่วมดำเนินงาน ทั้งนี้ สสส. มีภาคีเครือข่ายที่ทำงานป้องกันการคุกคามทางเพศ พร้อมสนับสนุนทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทั้งองค์ความรู้ ชุดข้อมูลวิชาการ กระบวนการเรียนรู้ และจัดอบรมเกี่ยวกับการป้องกันการคุกคามทางเพศในทุกรูปแบบ ติดต่อที่ 02 343 1500 Facebook : สสส. หรือ Facebook นับเราด้วยคน เพื่อร่วมสานพลังสังคมที่ปลอดจากการคุกคามทางเพศ
รศ.ดร.สุชาดา ทวีสิทธิ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ลักษณะการคุกคามทางเพศ คือ การแสดงความคิดเห็น คำพูด การกระทำ หรือรวมทุกอย่างที่กล่าวมา มีลักษณะจงใจสื่อนัยไปในเรื่องทางเพศ โดยผู้ถูกกระทำไม่พึงประสงค์ ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากเห็น ไม่ต้องการ การถูกร้องเรียนเรื่องการมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย เพราะที่ผ่านมาผู้ถูกกระทำมักเลือกที่จะเงียบ วางเฉย จึงได้ร่วมกับ สสส. พัฒนาแผนดำเนินงาน ทั้งการเก็บข้อมูลวิชาการสถานการณ์การคุกคามทางเพศกับกลุ่มชาย-หญิง และ LGBTQIA+ นำไปพัฒนาระบบบริการแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศ ขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และเสริมศักยภาพพัฒนาหลักสูตรแนวทางเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในที่ทำงาน เพื่อผลักดันให้สถานประกอบการที่สนใจบรรจุเป็นระเบียบขององค์กร โดยจะนำเนื้อหา และกระบวนการเริ่มทดลองใช้กับเจ้าหน้าที่ และภาคี สสส. เป็นต้นแบบของหลักสูตร
นางสาวจิตติมา ภาณุเตชะ นายกสมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า ช่องโหว่สำคัญของการคุกคามทางเพศ คือ ผู้พบเห็นอาจมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นทัศนคติที่ทำให้ตัดสินใจนิ่งเฉย ปัจจุบันสังคมตื่นตัวมากขึ้น แต่คนจำนวนมากยังไม่รู้แนวทางจัดการหากถูกคุกคามหรือพบเห็นการคุกคาม ดังนั้นหน่วยงานในระดับองค์กร ควรมีการดำเนินงาน 1.มีกระบวนการเพิ่มทักษะความรู้ให้กับพนักงาน 2.มีแนวทางการป้องกันและรับมือปัญหา รวมถึงมีช่องทางร้องเรียนขอความช่วยเหลือ 3.มีกลไกการตรวจสอบที่เชื่อมั่นได้ รักษาความลับ มีความเป็นธรรมให้ทั้งผู้ถูกกระทำ และผู้ถูกกล่าวหา ทั้งหมดนี้คือการรักษาสิทธิที่สร้างบรรยากาศการทำงานเป็นมิตร ปลอดภัย พลิกมุมมองวัฒนธรรมองค์กร ไม่ยอมรับการคุกคามทางเพศ ทั้งนี้ สมาคมเพศวิถีศึกษาทำงานขับเคลื่อนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ กับ สสส. มาโดยตลอด จะร่วม ดำเนินการตามที่สสส. ได้ประกาศเจตนารมณ์ หากสามารถเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ในองค์กรได้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี ร่วมกันสร้างสังคมที่มีความฉลาดรู้ในเรื่องการคุกคามทางเพศ และกล้าปกป้องสิทธิของตัวเองมากขึ้น
นางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงาน กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) กล่าวว่า UNFPA มีหลักการการป้องกันการแสวงประโยชน์ทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ (Prevention of Sexual Exploitation and Abuse) เป็นข้อปฏิบัติที่เจ้าหน้าที่ของ UNFPA และหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติทั่วโลก ต้องลงนามปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด UNFPA มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประกาศเจตนารมณ์หยุดคุกคามทางเพศ กับ สสส. นับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันความก้าวหน้าในการยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่ในสังคม พร้อมร่วมมือกับ สสส. ส่งเสริมแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน ในบ้าน ในโรงเรียน และพื้นที่สาธารณะทุกแห่ง เพื่อสร้างความยั่งยืนของการมีพื้นที่ปลอดภัยในทุกที่ของสังคม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชวนนักดื่ม “ตรวจตับ-เลิกจับขวด” ฟื้นฟูสุขภาพคืนความสุขครอบครัว
"งดเหล้าเข้าพรรษา" ในระยะเวลา 3 เดือน ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในเทศกาลสำคัญ ที่มุ่งเน้นให้ชาวพุทธงดดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เพียงเป็นการรักษาประเพณีและศีลธรรมเท่านั้น
“สุรศักดิ์” รมช.ศธ. เดินหน้าขับเคลื่อนรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย ชูโมเดล “ศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนักเรียนปลอดภัย จ.อยุธยา” ของสสส.
วันที่ 18 พ.ย. 2567 ที่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดศูนย์การเรียนรู้การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภายในงานเวทีสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาศูนย์เรียนรู้รถรับส่งนั
สสส.สานพลังภาคี ขจัดความเหลื่อล้ำกิจกรรมทางกาย ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
สสส.-สคล. ผนึกภาครัฐ เอกชน จัดแข่งฟุตซอลเยาวชนไม่เกิน 15 ปี ชิงถ้วยกรมสมเด็จพระเทพฯ
สสส. โดยสมาคมเครือข่ายงดเหล้าและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ (สคล.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายและภาคเอกชน รวม 7 องค์กร ลงนามความร่วมมือ พร้อมจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ
"สิทธิในอาหารเพื่อชีวิตที่ดี" ความตระหนักรู้เสริมสุขภาวะ
เด็กทั่วโลกเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร เพราะการบริโภคไม่สมดุล ส่งผลต่อสุขภาวะอ้วนผอม ชาวโลกเผชิญความอดอยากเกือบ 300 ล้านคน
สสส.ชวนคนรักสุขภาพ ร่วม'เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง' กระตุ้น'นักวิ่งหน้าใหม่'ลงสนาม8ธ.ค.นี้
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย. 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ สมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย จัดงานแถลงข่าว Thai Health Day Run 2024 วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่ ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด “เมื่อคุณเริ่มวิ่ง หัวใจเต้นแรง” ในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ ที่สะพานพระราม 8 โดย สสส. มุ่งจุดกระแสกิจกรรมทางกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต ซึ่งจากผลสำรวจอายุคาดเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2567 ของ www.worldometers.info ระบุว่า ไทยมีอายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ 76.56 ปี อายุยืนเป็นอันดับที่ 78 ของโลก ขณะที่ข้อมูลจากฐานข้อมูลการตาย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข ปี 2561-2565 พบคนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 164,720 ราย สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คือ ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิถีชีวิต