น้ำแร่ จุดกำเนิดแหล่งน้ำธรรมชาติ เติมแร่ธาตุและคุณประโยชน์ที่ครบครัน

การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน โดยนอกจากจะใส่ใจในเรื่องปริมาณการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายแล้ว การเลือกดื่มน้ำที่สะอาดและอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ยังถือเป็นปัจจัยที่ต้องสำคัญไม่แพ้กัน ในปัจจุบันหลายคนจึงมักเลือกดื่มน้ำแร่ เพราะด้วยรสชาติที่ดีและยังช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วจุดกำเนิดของน้ำแร่นั้นมาจากไหน ในน้ำแร่นั้นประกอบไปด้วยแร่ธาตุอะไรบ้าง และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร บทความนี้เราจะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบกัน

จุดกำเนิดน้ำแร่

น้ำแร่ (Mineral Water) คือน้ำที่มีแหล่งกำเนิดใต้ผิวดิน โดยน้ำแร่เหล่านี้จะมีการสะสมอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน และผุดขึ้นมาสู่พื้นดินจากการไหลซึมผ่านร่องเขาและชั้นหิน หรือที่เรียกกันว่าตาน้ำ จนกลายเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง บึง หรือทะเลสาบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำและสภาพแวดล้อมของพื้นที่นั้นๆ โดยปริมาณและชนิดของแร่ธาตุในน้ำแร่ก็แตกต่างกันตามแหล่งกำเนิดด้วยเช่นกัน ซึ่งแร่ธาตุที่พบได้บ่อยในน้ำแร่ มักจะมี แคลเซียม (Calcium) แมกนีเซียม (Magnesium) โพแทสเซียม (Potassium) ซิลิกา (Silica) ฟลูออไรด์ (Fluoride) และแร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยทั่วไปแล้ว น้ำแร่ในธรรมชาติจะมีลักษณะซ่าคล้ายน้ำอัดลม เนื่องจากมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ที่อยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการกรองน้ำก็จะทำให้รสสัมผัสของน้ำแร่เหมือนน้ำเปล่าทั่วไปนั่นเอง

แร่ธาตุสำคัญที่พบได้ในน้ำแร่

• แคลเซียม (Calcium) เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการสร้างและรักษากระดูกและฟันให้แข็งแรง มีส่วนช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ รวมถึงมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
• แมกนีเซียม (Magnesium) มีหน้าที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน เกี่ยวข้องในกระบวนการสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งยังมีหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณประสาท และการทำงานของระบบประสาท
• โพแทสเซียม (Potassium) มีส่วนช่วยควบคุมความดันเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อีกทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างราบรื่น
• ซิลิกา (Silica) เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันให้แข็งแรง เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ ผม และเล็บ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้กระบวนการสร้างคอลลาเจน โปรตีนสำคัญที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อในร่างกาย
• เหล็ก (Iron) มีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยังมีส่วนในการสร้างเอนไซม์และโปรตีนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเออีกด้วย
• ซัลเฟต (Sulfate) มีส่วนช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดีของร่างกาย อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างโปรตีน เนื่องจากโปรตีนบางชนิดต้องการซัลเฟตในกระบวนการสังเคราะห์ ช่วยให้โปรตีนสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ฟลูออไรด์ (Fluoride) มีหน้าที่หลักในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน และป้องกันฟันผุ เนื่องจากฟลูออไรด์มีคุณสมบัติต้านการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของฟันผุ

คุณประโยชน์ของการดื่มน้ำแร่เป็นประจำ

• ดีต่อสุขภาพกระดูกและฟัน เนื่องจากในน้ำแร่มีปริมาณฟลูออไรด์ และแคลเซียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีส่วนช่วยรักษามวลกระดูกให้มีความแข็งแรงและลดการเกิดฟันผุ
• เพิ่มความสดชื่น ช่วยให้ผิวพรรณแข็งแรง เนื่องจากในน้ำแร่มีซิลิกา ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและบำรุงผิวพรรณ เห็นได้จากมีผลิตภัณฑ์สเปรย์นำแร่สำหรับนำมาฉีดผิว ทั้งใบหน้า ลำตัว และเส้นผม เป็นต้น
• ดีต่อสุขภาพหัวใจ เนื่องจากในน้ำแร่มีปริมาณโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ และยังปรับสมดุลช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
• มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต โดยทั่วไปแล้ว ความดันผิดปกติเกิดจากร่างกายขาดแมกนีเซียม ซึ่งในน้ำแร่จะมีปริมาณแมกนีเซียมค่อนข้างสูง การดื่มน้ำแร่จึงมีส่วนปรับสมดุลความดันได้
• ดีต่อระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากในน้ำแร่มีปริมาณแมกนีเซียมและซัลเฟต ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของตับอ่อน เสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อลำไส้จนถึงระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ปกติ และช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวก
• เสริมการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ เนื่องจากแมกนีเซียมที่พบในน้ำแร่มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยในการผ่อนคลายและลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

ค่ามาตรฐานของแร่ธาตุ ที่ควรมีอยู่ในน้ำแร่และร่างกายควรได้รับ

• ธาตุเหล็ก : ควรได้รับไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
• แมงกานีส : ควรได้รับไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
• ทองแดง : ควรได้รับไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
• สังกะสี : ควรได้รับไม่เกิน 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
• ซัลเฟต : ควรได้รับไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
• ฟลูออไรด์ : ควรได้รับไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
• ไนเตรท : ควรได้รับไม่เกิน 45 มิลลิกรัมต่อลิตร
• คลอไรด์ : ควรได้รับไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร

 *ปริมาณของแร่ธาตุในน้ำแร่ ไม่นับรวมในอาหารที่รับประทานต่อวัน*

หากเปรียบเทียบว่าการดื่มน้ำแร่ให้ประโยชน์ดีกว่าการดื่มน้ำเปล่า เนื่องจากน้ำแร่ให้สารอาหารและแร่ธาตุที่มากกว่า แต่ที่จริงแล้วบรรดาสารอาหารและแร่ธาตุที่ได้รับจากน้ำแร่อาจไม่ได้มากมายไปกว่าปริมาณแร่ธาตุที่ได้รับจากการทานอาหารปกติเลย เป็นเพียงส่วนเสริมที่ช่วยเพิ่มปริมาณแร่ธาตุเท่านั้น ในทางกลับกัน การดื่มน้ำแร่เพื่อหวังเพิ่มปริมาณแร่ธาตุให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันนั้นอาจจำเป็นต้องดื่มในปริมาณมาก ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกาย ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหาร 5 หมู่อย่างเป็นประจำ เพื่อที่ร่างกายจะได้รับวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารที่ครบถ้วน และที่สำคัญควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ โดยควรเลือกน้ำดื่มที่สะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนอันตราย สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องกรองน้ำ ที่สามารถกรองสารปนเปื้อนอันตราย ใช้งานสะดวก ตอบโจทย์การใช้งานทั้งครอบครัว  เครื่องกรองน้ำ อีสปริง - eSpring เครื่องกรองน้ำเทคโนโลยีชุดไส้กรองคาร์บอน e3 กรองสิ่งปนเปื้อนได้กว่า 170 ชนิด*,** กรองไมโครพลาสติก สารปนเปื้อน และกำจัดเชื้อโรคด้วยนวัตกรรม UV-C LED ที่สามารถกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย จุลินทรีย์ในน้ำได้ถึง 99.99%*,***  แต่คงแร่ธาตุที่มีประโยชน์และจำเป็นไว้  อย่างแคลเซียม แมกนีเซียม และฟลูออไรด์ ให้คุณได้น้ำดื่มที่สะอาด ปลอดภัย และได้คุณประโยชน์จากแร่ธาตุที่จำเป็นในทุกวัน

* เครื่องกรองน้ำ อีสปริง ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับน้ำประปาที่ผ่านการบำบัดเพื่อการบริโภคแล้วเท่านั้น ไม่มีผลในการป้องกันหรือบรรเทาโรค

** ผ่านการทดสอบโดยห้องทดลองอิสระตามมาตรฐาน NSF (NSF/ANSI 42, 53, 55 และ 401) อีกทั้งในส่วนของการทดสอบการลดสารปนเปื้อนนอกเหนือจากในมาตรฐาน NSF ก็ได้รับการรับรองจาก NSF International

*** ผ่านการทดสอบโดยห้องทดลองอิสระตามมาตรฐาน NSF/ANSI 55 โดยใช้ qBeta bacteriophage เป็นเชื้ออ้างอิงในการทดสอบ