กยท.เดินหน้าออกโฉนดต้นยางพาราตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ มั่นใจจะช่วยแก้ปัญหายางทั้งระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับยางอย่างยั่งยืน ย้ำไม่สนับสนุนการบุกรุกป่าแต่จะทำให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล รวมทั้งยังสอดรับกับกฎEUDR ช่วยป้องกันไฟป่าลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ตลอดจน ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ กยท. เร่งดำเนินการสำรวจต้นยางพาราทั่วประเทศทั้งที่ปลูกในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ และพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพื่อออกโฉนดต้นยางพาราให้กับเกษตรกรที่เป็นเจ้าของต้นยางตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้โฉนดต้นยางพาราจะระบุว่าใครเป็นผู้ครอบครองต้นยางพารา และตั้งอยู่ที่ใด เปรียบเสมือนเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองเฉพาะต้นยางพารา ไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินที่ปลูก ซึ่งจะทำให้ทราบพิกัดที่ชัดเจนของต้นยางแต่ละต้น ข้อมูลจำนวนพื้นที่ปลูกยางที่แท้จริงของประเทศไทย ตลอดจนปริมาณยางที่จะออกสู่ตลาดในแต่ละช่วงเวลา สามารถนำมาใช้วางแผนบริหารจัดการและแก้ปัญหายางทั้งระบบของ กยท.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ต้องยอมรับความจริงว่า มีสวนยางจำนวนมากที่ปลูกในพื้นที่ที่รัฐไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ให้ได้ ทั้งๆ ที่เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนที่รัฐจะประกาศเป็นเขตป่าสงวนหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรืออุทยานแห่งชาติเสียอีก ดังนั้น เกษตรกรที่เป็นเจ้าของโฉนดต้นยาง เป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษา ก็ควรจะได้สิทธิ์ ในการครอบครองต้นยางที่ปลูกดูแลรักษาจนเติบโต ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน และมีรายได้จากการปลูกยางต้นนั้นๆ เพราะกว่าต้นยางจะเติบโตจนสามารถให้ผลผลิตน้ำยางได้นั้น ย่อมมีค่าใช้จ่าย สิ่งนี้ไม่ได้เป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการบุกรุกป่า แต่จะทำให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลเพราะต้นยางเป็นไม้ยืนต้น การปลูกยางก็เหมือนปลูกป่า ช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า และยังมีรายได้จากป่าที่เป็นสวนยางอย่างยั่งยืน” ประธานบอร์ด กยท. กล่าวย้ำ
นอกจากนี้ การออกโฉนดต้นยางพารายังก่อให้เกิดประโยชน์ในอีกหลายมิติ เช่น ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาป่า เพราะเกษตรกรเจ้าของสวนยางจะไม่ยอมให้มีการเผาป่าในพื้นที่สวนยางหรือพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่สวนยางจะได้รับความเสียหาย สามารถตรวจย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดยางพาราตามกฎระเบียบ EUDR ของสหภาพยุโรป(EU) เพราะโฉนดต้นยางจะทำให้รู้พิกัดของต้นยางซึ่งมีเอกสารสิทธิ์รับรอง สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตได้ ซึ่งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ยืนยันแล้วว่ายางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่กักเก็บคาร์บอนได้ ดังนั้น เกษตรกรที่ได้รับโฉนดต้นยางก็จะมีรายได้เสริมจากการขายคาร์บอนเครดิต เฉลี่ยประมาณ 1,200 บาท/ไร่ ได้สิทธิ์ในการรับมาตรการช่วยจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการชดเชยการปลูกทดแทน มาตรการชดเชยรายได้ ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งยังจะช่วยแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้ายางจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
ทั้งนี้ กยท.ตั้งเป้าที่จะออกโฉนดต้นยางให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมด เพื่อให้การบริหารจัดการยางของไทยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การสร้างเสถียรภาพให้ยางพาราอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กยท.เดินหน้าเพิ่มปริมาณยางEUDR 2ล้านตัน/ปี เปิดไฟเขียวMOUกับเอกชนเพิ่มมูลค่ายาง6,000 ล้านบาท
กยท.เดินหน้าส่งเสริมสวนยางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มปริมาณยางEUDR 2 ล้านตัน/ปี รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เปิดไฟเขียวขยาย MOUความร่วมมือทางด้านธุรกิจกับภาคเอกชน
กยท. ขยายตลาดยาง EUDR ต่อเนื่อง จับมือ ไทยรับเบอร์ฯ เซ็น MOU ซื้อขายน้ำยางสด 5 พันตันต่อเดือน
กยท. ทำได้จริงเปิดดีลซื้อขายน้ำยาง EUDR ต่อเนื่อง จับมือเอกชนรายแรก ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป เซ็น MOU ซื้อยางในราคาพรีเมี่ยม
กยท. มั่นใจก่อนสิ้นปีนี้ราคายางทะลุ 100 บาท/กก. ทุ่ม400ล. เปิดโรงงานยางแท่ง STR20 รองรับEUDRตรวจสอบย้อนกลับ100%
กยท.มั่นใจก่อนสิ้นปีนี้ราคายางทะลุ 100 บาท/กก.อย่างแน่นอน ย้ำชัดครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ ประกาศเดินหน้าเอาจริงปราบยางเถื่อนตรวจสอบเส้นทางด้านการเงิน
กยท.ดีเดย์ซื้อปลาหมอคางดำ 1 ล้านกก. ผลิตน้ำหมักชีวภาพเพิ่มผลผลิตให้ยางพารา
กยท.ดีเดย์ เริ่มรับซื้อปลาหมอคางดำแล้วเป็นวันนี้เป็นวันแรก ตั้งเป้าหมาย 1 ล้านกก. นำร่องในพื้นที่การระบาด 16 จังหวัด ราคา 15 บาท/กก.
ครบรอบ 9 ปี กยท. จัดใหญ่ “Thai Rubber, The Next Chapter” พร้อมผ่าผลงาน 4 ปี "ณกรณ์ ตรรกวิรพัท"
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดงานใหญ่ครบรอบปีที่ 9 โชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
จับตา...ราคายางครึ่งปีหลังสดใส ประเทศไทยประกาศพร้อมรับมือกฎเหล็ก EUDR
ภายหลังจากรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศ โดยมีร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์